เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตนให้ได้ฝ่ายกฎหมายของกระทรวงพาณิชย์ หารือกับสำนักงานกฤษฎีกา เพื่อความถูกต้องชัดเจน กรณีหลังการยุบสภา การเจรจาเรื่องภาษีสหรัฐฯที่อยู่ระหว่างการดำเนินการนั้นจะต้องดำเนินการอย่างไร สำหรับสัญญาซื้อขายข้าวรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ไทยกับจีน จำนวน 1 ล้านตันและคงเหลือ 2.8 แสนตัน ยังเดินหน้าได้ตามปกติ ซึ่งคงสามารถใช้กรอบและแนวปฏิบัติเดิมที่ยังเหลือต้องส่งมอบอีก 2.8 แสนตัน จึงไม่มีปัญหา

 

แหล่งข่าวกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า กรณีการเจรจามาตรการภาษีสหรัฐ อาจชะลอจนกว่าจะชัดเจนในหลักของกฎหมาย เพราะเป็นเรื่องที่ต้องผูกพันทางกฎหมายและต้องผ่านสภาฯ พิจารณาเห็นชอบ ส่วนข้าวจีทูจีกับจีน ในกรอบสัญญาเดิมยังคงค้างเจรจาและส่งมอบ 2.8 แสนตัน จะยังดำเนินการได้ตามเดิม ส่วนที่เจรจาเพิ่มอีก 2.2 แสนตันในช่วงรัฐบาลไทยเยือนจีนในช่วงความสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปี และขยับเป็น5 แสนตันนั้น 

 

ในส่วนของ 2.2 แสนตัน ยังต้องมีการลงนามโดยรัฐบาลและเดิมกำหนดในเดือนธันวาคมนี้ แต่เมื่อมีการยุบสภา ก็ต้องรอรัฐบาลใหม่ สำหรับการเจรจาจีทูจีขายข้าวให้จีน 1 แสนตัน โดยกรมการค้าต่างประเทศกับคอฟโก้ รัฐวิสาหกิจของจีน อยู่ในขั้นตอนด้านเอกสารและคาดว่าจะส่งมอบเร็วสุดต้นเดือนมกราคม

 

อนึ่ง เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม นางศุภจี ได้ให้สัมภาษณ์กรณีเกิดเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาในขณะนี้ และกังวลประธานาธิบดีสหรัฐ จะหยิบมาเป็นปรับการเจรจากับไทย ไว้ว่า กระทรวงพาณิชย์ มองว่ามาตรการภาษีตอบโต้ทางการค้า เป็นคนละเรื่องกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา และเห็นว่าสหรัฐไม่ควรนำเรื่องการค้า กับความขัดแย้งมาเชื่อมโยงกัน 

 

หากไทยจะเดินหน้าเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกาจะต้องยึดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ ซึ่งประเด็นไม่ได้อยู่ที่เงื่อนของกรอบเวลา เนื่องจากการค้าการขายเป็นการเจรจาแบบสองทาง ซึ่งทั้งสหรัฐฯ และไทยจะต้องพยายามหารือจนกว่าจะได้ประโยชน์ร่วมกัน ขณะนี้ไม่ได้มีแค่ไทยที่การเจรจายังไม่คืบหน้า อย่างอินโดนีเซียยังไม่ได้ข้อยุติในการเจรจาแม้ตั้งเป้าหมายจะให้ยุติภายในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา 2568

 

ที่มา มติชนออนไลน์

วันที่ 12 ธันวาคม 2568