พิษเศรษฐกิจจีน "แผ่ว" ยาว คนหนุ่มสาวหันซบ "ชามข้าวเหล็ก"
เศรษฐกิจจีนเติบโตน้อยลงอย่างต่อเนื่องหลายปี อันเนื่องจากปัจจัยทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกก็คือการถูกเล่นงานด้วยมาตรการภาษีจากสหรัฐ ภายในก็คือปัญหา "วิกฤตอสังหาริมทรัพย์" ครั้งใหญ่ที่ดูเหมือนจะบ่อนเซาะกัดกร่อนเศรษฐกิจภายในอย่างยืดเยื้อเรื้อรัง นอกจากนั้น ก็เกิดจากนโยบายของรัฐบาลเอง เช่น การเข้าปราบปรามบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่เคยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ผลที่ตามมาอย่างหนึ่งที่เห็นชัดจากการที่เศรษฐกิจที่แผ่วลง ก็คืออัตราการว่างงานของคนวัย “หนุ่มสาว” ที่เพิ่งจบการศึกษาพุ่งสูงมาก บางช่วงเคยไปแตะหลัก 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ (ช่วงกลางปี 2023) และในปัจจุบันการว่างงานของคนวัย 16-24 ปียังอยู่แถว ๆ 17% เทียบกับสหรัฐอเมริกาซึ่งอยู่ที่ประมาณ 10%
เมื่องานภาคเอกชนหายากเพราะพิษเศรษฐกิจ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนหนุ่มสาวเหล่านี้จะหันไปหางาน “ราชการ” ซึ่งแน่นอนว่าจำนวนที่เปิดรับไม่เพียงพอต่อความต้องการของคนที่ไปสมัครสอบแข่งขัน
ซีเอ็นบีซีรายงานว่า เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมามีผู้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ไปสมัครสอบแข่งขันเพื่อรับราชการมากถึง 3.7 ล้านคน สูงสุดทุบสถิติ แต่จำนวนที่เปิดรับมีเพียง 38,100 ตำแหน่ง นั่นหมายความว่าใน 100 คนมีเพียง 1 คนที่จะได้งาน แต่ถึงจะยาก พวกเขาก็ต้องดิ้นรนให้ได้งานราชการนี้มา เพราะตอนนี้งานราชการถูกมองว่าเป็น “ชามข้าวเหล็ก” ซึ่งหมายถึงงานที่มั่นคงนั่นเอง
อันที่จริงก่อนที่เศรษฐกิจจีนจะบูมนั้น งานราชการเคยเป็น “ชามข้าวเหล็ก” ของคนจีน แต่เมื่อเศรษฐกิจเติบโตอย่างมาก ภาคเอกชนมีการเปิดรับงานพร้อมด้วยเงินเดือนที่สูงกว่า คนหนุ่มสาวจึงเลือกไปทำงานกับภาคเอกชน บริษัทใหญ่ ๆ อย่างอาลีบาบา เทนเซนต์ หัวเว่ย เป็นต้น
แต่ตอนนี้ “ชามข้าวเหล็ก” กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำเป็นเวลานาน ประกอบกับรัฐบาลมีการปราบปรามภาคเอกชนในบางเซ็กเตอร์ เช่น อสังหาริมทรัพย์ เทคโนโลยี และสถาบันกวดวิชา ส่งผลให้เกิดการเลิกจ้างพนักงานครั้งใหญ่ ซึ่งตามข้อมูลของสมาคมอุตสาหกรรมและพาณิชย์จีนระบุว่า บรรดาบริษัทจีนระดับท็อป 500 ได้ลดพนักงานลง 314,600 คน ในปีที่แล้ว (2024)
คอรัล หยาง วัย 22 ปี ซึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาชั้นนำในเซี่ยงไฮ้ บอกว่าเธอใช้เวลา 4 เดือนในการหางานที่บริษัทตัวแทนการตลาดรายหนึ่ง จนได้งานมา แต่ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาถูกยกเลิก เพราะบริษัทตัดตำแหน่งของเธอออกไปเพื่อลดต้นทุน สะท้อนให้เห็นว่างานภาคเอกชนนั้นมีความไม่แน่นอนแค่ไหน ทำให้เธอตัดสินใจเตรียมตัวเพื่อสอบเข้ารับราชการในปีหน้า
หยางไม่ใช่คนเดียวที่กำลังมองหางานราชการ แต่อีกจำนวนมากก็มีแนวโน้มอย่างเดียวกัน ซึ่งตามข้อมูลของจื่อเหลียน จ้าวปิน ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับคนหางาน ชี้ว่าสัดส่วนของนักศึกษาจบใหม่ที่มองหางานราชการเพิ่มขึ้นจาก 42% ในปี 2020 เป็น 63% ในปี 2024 ขณะที่จำนวนนักศึกษาที่มองหางานเอกชนลดลงจาก 25.1% ในปี 2020 เหลือเพียง 12.5% ในปี 2024
กระทรวงศึกษาธิการของจีนพยายามจะเพิ่มการจ้างงานในวิสาหกิจเอกชน ด้วยการเสนอคืนภาษี ประกันสังคม และเงินอุดหนุน เพื่อจูงใจให้จ้างนักศึกษาจบใหม่ แต่สิ่งจูงใจที่ให้ต่ำเกินไป อย่างเช่นรัฐบาลท้องถิ่นเซี่ยงไฮ้เสนอเงินอุดหนุนแค่ 1,500 หยวนต่อหัวสำหรับการจ้างนักศึกษาใหม่
เจียนเหว่ย ซู่ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ Natixis ให้ความเห็นว่า จำนวนผู้สมัครงานราชการพุ่งขึ้นมาก ไม่สอดคล้องกับจำนวนที่เปิดรับ แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามเพิ่มการจ้าง แต่ก็ทำได้ไม่มากนัก เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านงบประมาณหลังจากวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทำให้รัฐบาลท้องถิ่นจำนวนมากขัดสนงบประมาณ นำมาซึ่งการหลีกเลี่ยงไม่จ้างคนเพิ่ม ทำให้การเปิดรับข้าราชการที่ครั้งหนึ่งเคยขยายตัว มาในตอนนี้กลับแทบไม่เพิ่มขึ้นเลย ดังนั้น การแข่งขันเพื่อสอบเข้ารับราชการจึงดุเดือดมากและยากที่จะได้งาน
ในบางมณฑลการแข่งขันสูง จนเหมือนเป็นการแข่งขันกีฬาระดับชาติไปแล้ว และปีหน้าจะยิ่งดุเดือดกว่า เพราะจะมีนักศึกษาจบใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงานประมาณ 12.7 ล้านคน สูงสุดเป็นประวัติการณ์
รัฐบาลจีนพยายามจะดูดซับการจ้างงานให้มากขึ้น ด้วยการขยายเพดานอายุของผู้มีสิทธิเข้ารับราชการเป็น 38 ปีสำหรับผู้ที่จบสูงกว่าปริญญาตรี และ 43 ปีสำหรับผู้จบปริญญาเอก ยิ่งทำให้จำนวนผู้แข่งขันมีมากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การที่คนหนุ่มสาวนิยมทำงานราชการมากขึ้น ไม่ได้เกิดจากสาเหตุที่หมดศรัทธาและความเชื่อมั่นในงานภาคเอกชนเท่านั้น แต่เกิดจากพวกเขาให้ความสำคัญกับ “สมดุล” ระหว่างชีวิตและงานมากขึ้นอีกด้วย โดยได้รับอิทธิพลมาจากประโยคฮิตในโลกอินเทอร์เน็ตเรื่อง “นอนราบ” หรือ “นอนเอกเขนก” ซึ่งหมายถึงการไม่แข่งขันมากเกินไป ไม่ทำงานหนักมากเกินไป ขออยู่แบบเรียบง่าย เพราะดิ้นรนไปก็ไม่คุ้มค่า ซึ่งพวกเขาเห็นว่างานราชการตอบสนองความต้องการนี้ได้ ค่านิยม “นอนราบ” เกิดจากการที่คนหนุ่มสาวหางานยาก การแข่งขันสูงเกินไปจนรู้สึกหมดไฟ
พร้อมกันนั้น ยังมีอีกปรากฏการณ์หนึ่ง นั่นก็คือมีนักศึกษาที่ต้องการเรียนสูงกว่าปริญญาตรีน้อยลงกว่าเดิม โดยจำนวนผู้สมัครเข้าเรียนระดับสูงกว่าปริญญาตรีในเดือนตุลาคมปีนี้ (2025) มีจำนวน 3.4 ล้านคน จากที่เคยอยู่ในระดับ 4.74 ล้านคน ในปี 2023 สะท้อนว่าพวกเขามีความเชื่อมั่นน้อยลง ว่าดีกรีการศึกษาสูงจะช่วยให้พวกเขาได้ทำงานในตำแหน่งที่ดี ๆ สูง ๆ
ข้อมูลของ จื่อเหลียน จ้าวปิน สนับสนุนแนวโน้มดังกล่าว โดยพบว่านักศึกษาที่จบวิทยาลัยอาชีวะมีโอกาสได้งานมากกว่า ด้วยอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นเป็น 56.6% ในปี 2025 ส่วนผู้จบสูงกว่าปริญญาตรี หรือผู้เรียนต่อเพิ่มหลังปริญญาตรีโอกาสได้งานน้อยกว่า ด้วยอัตราการจ้างงาน 45% ลดลงจากปี 2023 ซึ่งอยู่ที่เกือบ 57%
อย่างไรก็ตาม บรรดานักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า การที่ผู้จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศพากันแห่ไปทำงานราชการ แทนการเป็นผู้ประกอบการ หรือทำงานกับภาคเอกชนที่มีความเสี่ยงสูง อาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะมันอาจเปลี่ยน “ภูมิทัศน์” ด้านความสามารถของบุคลากร โดยไปสร้างความเข้มแข็งให้กับบุคลากรในภาคราชการ สุดท้ายแล้วก็จะไปลด “พลวัต” ด้านนวัตกรรมและเศรษฐกิจภาคเอกชน
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 20 ธันวาคม 2568

