"ไทย" ติดหล่มภาคการผลิตทรุด "สภาพัฒน์" ชี้ 5 เหตุผลส่วนทางส่งออกพุ่ง
KEY POINTS :
* การส่งออกมีลักษณะเป็นเพียง “ทางผ่าน” (Pass-through) โดยสินค้าไม่ได้ผ่านกระบวนการผลิตหรือสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศอย่างเต็มที่
* ปัญหาการทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ (Import Flooding) ซึ่งอาจเป็นการนำเข้ามาแล้วส่งออกต่อ มากกว่าจะเป็นผลผลิตจากการขยายกำลังการผลิตของโรงงานในไทย
* ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคอุตสาหกรรมเดิมที่ใช้เทคโนโลยีเก่าและมีต้นทุนค่าแรงสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง
* ความไม่เชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมใหม่ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ หรือสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้การผลิตในประเทศยังไม่เข้มแข็งพอ
* ผลกระทบในอุตสาหกรรมหลักอย่างยานยนต์ ที่การผลิตชะลอตัวจากปัญหาหนี้ครัวเรือนซึ่งฉุดรั้งกำลังซื้อและการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ
การส่งออกไทยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-พ.ย.) มีมูลค่า 310,739 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 12.6% ซึ่งสวนทางกับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ในช่วง 11 เดือน แรกของปีนี้ ที่ติดลบไปแล้วถึง 6 เดือน (YoY) และล่าสุดเดือน พ.ย.2568 ติดลบไปถึง 4.24% และการใช้กำลังการผลิตลดลงเหลือ 55.49% ต่ำที่สุดในปี 2568
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) รายงานว่า MPI เดือน พ.ย.อยู่ที่ระดับ 90.54 ลดลง 4.24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตราการที่ 55.49% ถือว่าต่ำกว่าศักยภาพ
นายศุภกิจ บุญศิริ ผู้อำนวยการ สศอ.กล่าวว่า อัตราการใช้กำลังการผลิตที่ลดลงมาจากจากการผลิตอุตสาหกรรมปิโตรเลียมลดลงจากการหยุดผลิตชั่วคราวเพื่อซ่อมบำรุงโรงกลั่นครั้งใหญ่ เงินบาทแข็งค่าส่งผลให้ราคาสินค้าส่งออกของไทยเพิ่มสูงขึ้นและกระทบความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของไทย
ประกอบกับสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ทำให้การผลิตหยุดชั่วคราว และสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชากระทบการค้าชายแดน โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ น้ำมันปิโตรเลียม และสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงการท่องเที่ยวต่างประเทศลดลงต่อเนื่องกระทบอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น เนื้อไก่แช่แข็ง อาหารสำเร็จรูป รองเท้า เบียร์ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์
ด้านระบบเตือนภัยเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือน ธ.ค.2568 อยู่ระดับ “เฝ้าระวัง” โดยปัจจัยในประเทศอยู่ในวัฏจักรขาลง การลงทุนภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่อง ขณะที่การบริโภคยังพอได้แรงหนุนจากนโยบายรัฐ ส่วนปัจจัยต่างประเทศเริ่มผ่อนคลายตามการส่งออกของจีนและออสเตรเลียที่ขยายตัว แต่การผลิตของสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และอาเซียนยังต้องติดตามใกล้ชิด
สศช.ชี้ความผิดปกติ “ส่งออก-กำลังผลิต” :
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ปัญหาการส่งออกไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) และอัตราการใช้กำลังการผลิตกลับไม่เพิ่มขึ้นตามที่ควรจะเป็น สะท้อนความ “ผิดปกติ” ในระบบการผลิตของไทยซึ่งเกิดจากสาเหตุหลักหลายข้อได้แก่
(1)ลักษณะการส่งออกของไทยที่เป็นเพียง “ทางผ่าน” (Pass-through) เพราะในภาวะปกติหากนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเพื่อผลิตแล้ว MPI ควรพุ่งสูงขึ้นระดับ 2 หลัก หรืออย่างน้อย 3-5% แต่ MPI กลับไม่เพิ่มขึ้นอย่างที่คาดการณ์ไว้ ทำให้เกิดข้อสังเกตว่าสินค้าที่ส่งออกเหมือนมาผ่านทางอย่างเดียว โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการผลิตหรือสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศอย่างเต็มที่
(2)ปัญหาการทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ (Import Flooding) ปัจจุบันยังมีสภาวะสินค้าต่างประเทศไหลเข้าไทยระดับหนึ่ง ซึ่งความผิดปกตินี้เห็นได้จากตัวเลขการนำเข้าที่สูงใกล้เคียงกับการส่งออก เช่น ส่งออกบางเดือนโต 12.6% แต่นำเข้าก็สูงถึง 12.4% สะท้อนว่าสินค้าที่ไทยส่งออกไปอาจเป็นการนำเข้ามาแล้วส่งออกต่อ มากกว่าจะเป็นผลผลิตจากการขยายกำลังการผลิตของโรงงานในไทย
เมื่อพิจารณารายละเอียดพบว่าการส่งออกล่าสุดเดือน พ.ย.2568 มีมูลค่า 27,445 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7.1% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 ติดต่อกัน ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 30,172 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 17.6% โดยไทยขาดดุลการค้า 2,726 ล้านดอลลาร์
รวมการส่งออก 11 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-พ.ย.) มีมูลค่า 310,706 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 12.6% ขณะที่การนำเข้าของไทย 11 เดือนที่ผ่านมามีมูลค่ารวม 315,662 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 12.4%
ไทยติดกับดักโครงสร้างการผลิตเดิม :
(3)ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคอุตสาหกรรมเดิม โดยต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมไทยอยู่ช่วงที่เผชิญการปรับโครงสร้าง เนื่องจากไทยอยู่กับการผลิตรูปแบบเดิมมานาน แต่เทคโนโลยีของโลกก้าวหน้าไปมากแล้ว
ขณะที่ต้นทุนค่าแรงของไทยสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแบบเดิมลดลง สินค้าไทยบางส่วนจึงถูกประเทศรอบบ้านผลิตเลียนแบบและทำได้เหมือนกับเราแล้ว ซึ่งการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทยต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี โดยต้องทำต่อเนื่องเพื่อให้สินค้าไทยสอดคล้องกับความต้องการโลก
(4)ความไม่เชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตใหม่ ปัจจุบันกำลังการผลิตที่ยังไม่พุ่งสูงถึงระดับ 70-80% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไทยยังดึง Supply Chain ของอุตสาหกรรมใหม่ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ หรือสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ เข้ามาได้ไม่ครบวงจร ทำให้การผลิตภายในประเทศยังไม่เข้มแข็งพอที่จะรองรับการเติบโตของการค้าโลกยุคใหม่ได้
(5)ผลกระทบในอุตสาหกรรมหลักอย่างเช่น ยานยนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งเป็นเสาหลักไม่ได้มีการผลิตอย่างที่คาดไว้ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือนภายในประเทศ ที่ฉุดรั้งกำลังซื้อและการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ขณะที่การผลิตเพื่อส่งออกก็มีความท้าทาย ส่งผลให้ภาพรวมของกำลังการผลิตในประเทศยังไม่ฟื้นตัว แม้ตัวเลขการส่งออกในภาพรวมจะดูดีก็ตาม
เร่งเจรจาสหรัฐสรุปเกณฑ์ RVC :
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ประเด็นสินค้า Transshipment เป็นเรื่องที่สหรัฐจับตาสินค้าจีนที่จะมาใช้แหล่งกำเนิดสินค้าจากไทยเพื่อส่งออกไปสหรัฐ โดยที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้เจรจาเงื่อนไขการกำหนดถิ่นกำเนิดสินค้าที่พิจารณาจากสัดส่วนการใช้วัตถุดิบภายในภูมิภาค (RVC) แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งสหรัฐยื่นข้อเสนอ RVC ที่สูงกว่า 50%
ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศเสนอให้มีการตรวจสอบสินค้าส่งออกไปสหรัฐทุกชิปเมนต์ และคาดว่าปริมาณคำขอหนังสือรับรองแหล่งกำเนิสินค้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 8,000 ฉบับต่อเดือน
ไทยขาดดุลจีนจ่อทุบสถิติใหม่
สำหรับการค้าระหว่างประเทศไทย-จีน พบว่า ไทยเจอปัญหาขาดดุลการค้าจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และปี 2568 กำลังทำสถิติขาดดุลการค้าสูงเป็นประวัติการณ์ โดยในช่วง 11 เดือน แรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ย.) ไทยขาดดุลการค้าจีนสูงถึง 60,646 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าปี 2567 ที่ขาดดุลการค้า 45,364 ล้านดอลลาร์ ซึ่งปีที่แล้วเป็นปีที่ทำสถิติขาดดุลสูงเป็นประวัติการณ์มาแล้ว
ทั้งนี้ สินค้านำเข้า 5 อันดับแรกจากจีนประกอบด้วย
1)เครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า และส่วนประกอบ เครื่องบันทึกเสียงและเครื่องถอดเสียง เครื่องบันทึกและเครื่องถอดภาพและเสียงทางโทรทัศน์ รวมทั้งส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบ 33,562 ล้านดอลลาร์ สัดส่วน 34.52% ของการนำเข้าสินค้าจากจีนทั้งหมด
2)เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ บอยเลอร์ เครื่องจักร เครื่องใช้กล และส่วนประกอบของเครื่องดังกล่าว 15,007 ล้านดอลลาร์ สัดส่วน 15.43% ของการนำเข้าสินค้าจากจีนทั้งหมด
3)พลาสติกและของที่ทำด้วยพลาสติก 4,726 ล้านดอลลาร์ สัดส่วน 4.86% ของการนำเข้าสินค้าจากจีนทั้งหมด
4)ของทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า 4,574 ล้านดอลลาร์ สัดส่วน 4.7% ของการนำเข้าสินค้าจากจีนทั้งหมด
5)ไข่มุกธรรมชาติหรือไข่มุกเลี้ยง รัตนชาติหรือกึ่งรัตนชาติ โลหะมีค่า โลหะที่หุ้มติดด้วยโลหะมีค่า และของที่ทำด้วยของดังกล่าว เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณที่เป็นของเทียม เหรียญกษาปน์ 4,208 ล้านดอลลาร์ สัดส่วน 4.3% ของการนำเข้าสินค้าจากจีนทั้งหมด
หวังปีหน้าดัชนีผลผลิตฟื้นตัว
นอกจากนี้ สศอ.ประเมินสถานการณ์MPI ปี 2568 จะติดลบ 1% ซึ่งต่ำกว่าเป้าเดิมจากผลของการซ่อมบำรุงโรงกลั่น แต่ในปี 2569 ตั้งเป้าหมายให้ MPI กลับมาขยายตัว 1-2% จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีหลังจบการซ่อมบำรุง และมาตรการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม S-Curve
“เมื่อซ่อมเครื่องจักรเสร็จและมีการปรับสินค้าให้ตรงกับความต้องการใหม่ โรงงานไทยยังมีโอกาสกลับมาเดินเครื่องเต็มกำลังอีกครั้ง” นายศุภกิจ กล่าว
นอกจากนี้ สศอ.ได้ประเมินว่าอุตสาหกรรมดาวเด่นยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับแรงหนุนจากโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ของโลก ได้แก่
1)อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตตามตลาดปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ IoT
2)อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน (xEV) ที่ขยายตัวตามความต้องการตลาด มาตรการ EV3.0 และ EV3.5 ประกอบกับเงื่อนไขที่กำหนดให้มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content)
3)อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง (HDD) ซึ่งไทยเป็นฐานการผลิต HDD ความจุสูงเพื่อรองรับ Data Center
(4)ตลอดจนกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์สำเร็จรูปที่มีความพร้อมด้านวัตถุดิบและมาตรฐานการผลิตที่ตอบสนองความต้องการบริโภคและตลาดสัตว์เลี้ยง ที่ขยายตัวต่อเนื่อง
ขณะที่อุตสาหกรรมที่ต้องเร่งปรับตัว ได้แก่
1)อุตสาหกรรมยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE)
2)โรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม
3)เหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน
4)สิ่งทอ
5)เฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบ
ทั้งนี้อุตสาหกรรมดังกล่าวเผชิญแรงกดดันจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า ภาระหนี้ครัวเรือน การทะลักของสินค้านำเข้า ต้นทุนการผลิตที่สูง หนี้ครัวเรือน และมาตรการด้านภาษีและสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ ทำให้ต้องปรับตัวเชิงโครงสร้างเพื่อรักษาขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาว
“รัฐบาลเตรียมใช้มาตรการสนับสนุนรถยนต์กลุ่ม HEV ควบคู่การลดภาษีสรรพสามิตตามการปล่อยคาร์บอน ตั้งแต่ ม.ค.2569 เพื่อพยุงฐานการผลิตเดิม” นายศุภกิจ กล่าว
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 30 ธันวาคม 2568

