"กกร." เบรกค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ชี้กระทบต้นทุนเพิ่ม 70% แนะขึ้นตามภาวะ ศก.
"กกร." เบรกค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ชี้กระทบต้นทุนเพิ่ม 70% แนะขึ้นตามภาวะ ศก.-จ่อร่อนหนังสือถึงรัฐ วอนชะลอขึ้นค่าไฟ หวั่นกระทบต้นทุนธุรกิจ
เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยภายหลังการประชุม กกร.กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือประเด็นและข้อเสนอที่สำคัญ โดยประเด็นการประกาศนโยบายหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมือง เรื่องการทยอยขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 600 บาท และการจบปริญญาตรีมีเงินเดือน 25,000 บาท นั้น กกร. มีความเห็นว่าการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในช่วงที่ผ่านมา มีความเหมาะสมแล้ว โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มยังไม่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิดมากนัก
นายสนั่น กล่าวว่า ประกอบกับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมีการพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งจากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) โดยคำนึงถึง การครองชีพของลูกจ้าง รวมถึง อัตราเงินเฟ้อ ดัชนีค่าครองชีพ ราคาสินค้า ฯลฯ การพิจารณาปรับค่าแรงจึงต้องมองในทุกมิติ ทั้งในมุมของนายจ้างและลูกจ้าง รวมถึงการคำนึงถึงความสามารถในการจ่ายค่าจ้างของนายจ้างซึ่งมีผลต่อการจ้างงานโดยรวม
จากกรณีขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวันเมื่อปี 2554 ที่ถึงแม้จะดำเนินการได้สำเร็จ แต่ผู้ประกอบการรายย่อยปรับตัวค่อนข้างลำบาก ส่วนธุรกิจหรืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่บางรายก็ปรับเป็นการย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นแทน
“ขณะเดียวกันหากทยอยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวัน จากปัจจุบันที่ค่าแรงเฉลี่ยอยู่ที่ 328-354 บาทต่อวัน ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นการทยอยขึ้นก็จะทำให้ต้นทุนภาคธุรกิจปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 70% ทำให้ภาคธุรกิจอาจปรับตัวไม่ทัน”นายสนั่น กล่าว
อย่างไรก็ตาม กกร.ยังเห็นว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตามภาวะของสถานการณ์ เศรษฐกิจ และขึ้นอย่างมีขั้นมีตอนยังคงมีความจำเป็น หากได้มีการศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน เชื่อว่าการปรับค่าแรงในระดับที่เหมาะสมจะเป็นประโยชน์ต่อภาพเศรษฐกิจ และควรมีความสอดคล้องกับการสร้างเศรษฐกิจฐานความรู้ และการพัฒนาทักษะของลูกจ้าง รวมถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
นายสนั่น กล่าวว่า นอกจากนี้ กกร.เตรียมส่งหนังสือถึงรัฐ ให้พิจารณาการชะลอเรื่องการปรับค่าไฟฟ้าขึ้น หลังอัตราค่าไฟฟ้าที่ กกพ. ได้มีการเปิดรับฟังความเห็นแนวทางการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ของเดือนมกราคม-เมษายน 2566 ทั้ง 3 แนวทาง ตั้งแต่ 158-224 สตางค์/หน่วย (เพิ่มขึ้น 14-28%) ซึ่งกรณีมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูงมากถึงสองงวดติดต่อกัน ย่อมจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาระค่าครองชีพของประชาชน และต้นทุนในการดำเนินธุรกิจทั้งภาคการผลิตและภาคบริการที่ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นการบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันประเทศ
ดังนั้น กกร. จึงเสนอขอให้รัฐบาลพิจารณาชะลอการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ของเดือนมกราคม-เมษายน 2566 ออกไปก่อน เพื่อบรรเทาผลกระทบของประชาชนและภาคธุรกิจ เนื่องจากแนวโน้มราคาค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าในปี 2566 ตามข้อมูลจาก กกพ. จะมีแนวโน้มชะลอตัวและลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 สอดคล้องกับการผลิตก๊าซจากอ่าวไทยที่จะสามารถกลับมาผลิตได้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน ก็จะทำให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่นำมาผลิตไฟฟ้าลดลงกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
นายสนั่นกล่าวว่า ประเมินปี 2566 ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตจากปัจจัยสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นหลัก ในขณะที่มีข้อจำกัดจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและการปรับนโยบายเศรษฐกิจสู่ภาวะปกติ ที่ประชุม กกร. จึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 3.0-3.5% ซึ่งจะเป็นอัตราการเติบโตที่น้อยกว่าประเทศคู่เทียบในภูมิภาคอาเซียนอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ขณะที่การส่งออกประเมินว่าจะชะลอตัวตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลง ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวในกรอบ 1.0% ถึง 2.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ในกรอบ 2.7 ถึง 3.2%
ขณะเดียวกันสำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2565 ยังขยายตัวสอดคล้องกับกรอบการประมาณการที่เคยคาดไว้ จากอานิสงส์ของการส่งออกในช่วง 9 เดือนแรก และตามการปรับตัวดีขึ้นของภาคการท่องเที่ยวและอุปสงค์ภายในประเทศ โดยที่ประชุม กกร. คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะขยายตัวได้ 3.2% ขณะที่มูลค่าการส่งออกจะขยายตัวได้ 7.25% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าอยู่ที่ 6.2%
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 7 ธันวาคม 2565