เมื่อวันที่ 11 มีนาคม นายบุญเสริม ขันแก้ว รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กรมฯได้จัดประชุมสนทนากลุ่ม หรือโฟกัส กรุ๊ป โดยมีผู้แทนจากภาครัฐ เอกชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวตะวันออกกลางเข้าร่วมประชุม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีมุสลิมในเชิงรุกในรูปแบบที่เหมาะสมกับสถานการณ์วิถีปกติใหม่ รวมทั้งสร้าง

 

ความได้เปรียบในการดึงดูดนักท่องเที่ยวมุสลิม หลังจากนายกรัฐมนตรีได้เดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการเมื่อต้นปี 2565 ควบคู่กับนโยบายของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เน้นเรื่องความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวของกลุ่มนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นชาวมุสลิมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่อง

 

“ช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง โดยทำการศึกษาและจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวมุสลิม ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก ก่อให้เกิดรายได้ในช่วงปี 2560-2563 เป็นจำนวน 72,739.64 ล้านบาท 61,795.44 ล้านบาท และ 57,381.19 ล้านบาท ตามลำดับ โดยเป็นกลุ่มที่มีวันพักประมาณ 13 วันต่อทริป มีการใช้จ่ายสูงกว่า 6,000 บาท/คน/วัน ซึ่งสูงกว่านักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่นๆ จึงจัดเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูง” 

 

นายบุญเสริม กล่าวและว่า กรมฯจึงได้จัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงพื้นที่รองรับการท่องเที่ยวคุณภาพสูง : ศึกษากรณีนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางภายใต้โครงการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงพื้นที่รองรับการท่องเที่ยววิถีใหม่ เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการฟื้นฟูการท่องเที่ยววิถีมุสลิมของประเทศไทย โดยจัดประชุมโฟกัสกรุ๊ปไปแล้ว 3 ครั้ง ที่กรุงเทพฯ, เชียงใหม่ และล่าสุดเมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา ที่เมืองพัทยา และเตรียมจัดประชุมอีกครั้งที่ภูเก็ต ในวันที่ 15 มีนาคมนี้

 

ที่มา มติชนออนไลน์

วันที่ 12 มีนาคม 2566