โฟกัสโลกรอบสัปดาห์: โลกจับตา โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ทำป่วยหนัก-น่ากังวลจริงหรือ?
โลกกำลังต้อนรับฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงในเร็วๆ นี้ ที่อาจทำให้เกิดความกังวลได้เหมือนเช่นเดิมว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจจะกลับมารุนแรงอีกครั้งเหมือนเช่นฤดูหนาวปีก่อนๆ หรือไม่ หลังเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ย่อย 2 สายพันธุ์ ได้แก่ EG.5 หรือที่รู้จักในชื่อ “เอริส” และ BA.2.86 ได้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และเริ่มมีการพบผู้ติดเชื้อในหลายประเทศทั่วโลก แม้มนุษย์จะใช้ชีวิตร่วมกับโควิด-19 มานานเกือบ 4 ปีแล้ว และคนส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันในร่างกายแล้วก็ตาม แต่ไวรัสสายพันธุ์ย่อยทั้ง 2 ชนิดนี้จะมีความร้ายแรงแค่ไหนและเราทุกคนควรที่จะกังวลถึงการปรากฎขึ้นของสายพันธุ์ดังกล่าวหรือไม่?
“เอริส และ BA.2.86” ต่างจากสายพันธุ์ก่อนอย่างไร?
ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศสหรัฐ ทวีปยุโรป และเอเชีย กำลังเพิ่มสูงขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ย่อยเอริส ที่กลายพันธุ์มาจากสายพันธุ์โอมิครอน โดยเอริสถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขณะนี้เอริสมีสายพันธุ์ย่อยออกมาแล้วชื่อว่า EG.5.1 แต่เอริสมีการกลายพันธุ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับสายพันธุ์พ่อแม่ของมันอย่าง XBB.1.9.2 แพทย์ที่ทำการรักษาผู้ป่วยรายงานว่าผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ดังกล่าวไม่ได้มีอาการป่วยไปมากกว่าผู้ป่วยคนอื่นๆ ที่ติดเชื้อในระลอกการระบาดก่อนหน้าแต่อย่างใด
จากหลักฐานที่มีอยู่ตอนนี้ เจ้าหน้าที่ขององค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ระบุว่าไม่มีข้อบ่งชี้ว่าเอริสจะทำให้อาการป่วยรุนแรงขึ้นและความเสี่ยงต่างๆ จากเชื้อตัวนี้ไม่สูงไปกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ที่กำลังอยู่ในความสนใจตอนนี้ การทดสอบพบว่า เอริส มีความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ได้เก่งขึ้นกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ที่กำลังมีการแพร่ระบาดอยู่ แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าแม้จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศอังกฤษ จะเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อยในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอายุมากกว่า 85 ปี แต่จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นยังต่ำกว่าระลอกก่อนๆ และจำนวนผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาลก็ยังไม่สูงขึ้นจากเดิมเช่นกัน ถึงกระนั้นก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกจะยังคงจับตาดูการแพร่ระบาดของเอริสต่อไป หลังพบการติดเชื้อใน 51 ประเทศทั่วโลก อาทิ จีน เกาหลีใต้ สหรัฐ ออสเตรเลีย และฝรั่งเศส
ศาสตราจารย์มัสซิโม พัลมารินี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยด้านไวรัส แห่งมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ ให้ความเห็นว่า “ดูเหมือนว่าสายพันธุ์ใหม่นี้จะไม่มีความแตกต่างจากสายพันธุ์ก่อนๆ มากนัก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันไม่สำคัญ”
นอกจากนั้นแล้ว บรรดานักวิทยาศาสตร์กำลังพุ่งความสนใจไปที่สายพันธุ์ BA.2.86 ที่มีการกลายพันธุ์มากถึง 36 จุดเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ XBB.1.5 ที่กำลังมีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในปีนี้ ซึ่งเป็นจำนวนตำแหน่งการกลายพันธุ์ที่เกือบจะเทียบเท่ากับโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่ทำให้เกิดการติดเชื้อเป็นวงกว้างเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ก่อนหน้า
นพ.เอส เวสลีย์ ลอง ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของแผนกการตรวจทางจุลชีววิทยา โรงพยาบาลฮิวสตัน เมธอดิสต์ รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ข้อมูลว่า BA.2.86 มีต้นกำเนิดมาจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์แรกๆ จึงมีความแตกต่างจากสายพันธุ์อื่นๆ ที่วัคซีนขณะนี้ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อจัดการ ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าสายพันธุ์ดังกล่าวจะสามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็วขึ้น หรือทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า แต่สถานการณ์ของโลกในตอนนี้ที่มีการลดระดับการตรวจหาเชื้อในผู้ป่วยโควิด-19 รวมถึงลดความพยายามในการวิเคราะห์จีโนมของไวรัสที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น
ทำให้ นพ.เอริค โทโพล ผู้เชี่ยวชาญด้านจีโนมและผู้อำนวยการของ Scripps Research Translational Institute ในรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า แนวโน้มการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ย่อย BA.2.86 นั้น “ดูไม่ดีเสียเลยในตอนนี้” เมื่อดูจากระยะเวลาในการวิเคราะห์ผู้ป่วยรายใหม่ และในแง่ที่ว่าไวรัสจะไม่หยุดวิวัฒนาการตัวเอง โดยเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ BA.2.86 ถูกพบครั้งแรกที่ประเทศเดนมาร์ก เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม และพบผู้ป่วยแล้วในหลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา สวิสเซอร์แลนด์ อิสราเอล แคนาดา และอังกฤษ
ถึงเวลาหรือยังที่เราต้องกลับมากังวลอีกครั้ง?
ถึงแม้ว่าดับเบิลยูเอชโอยังไม่ได้ออกมาประกาศให้ BA.2.86 เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล แต่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมีการเฝ้าจับตาดูโควิด-19 สายพันธุ์ BA.2.86 ที่มีการกลายพันธุ์หลายจุด แต่ยังพอมีข่าวดีอยู่บ้างเพราะ BA.2.86 อาจไม่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดรุนแรงระลอกใหญ่และการเสียชีวิตเป็นจำนวนมากเหมือนเมื่อก่อน เพราะขณะนี้ประชากรของโลกส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันอยู่ในตัวแล้ว ไม่ว่าจากทั้งการรับวัคซีนหรือการติดเชื้อโควิด-19
นางมาเรีย ดี. ฟาน เคิร์กโฮฟ หัวหน้าฝ่ายเทคนิคของดับเบิลยูเอชโอ กล่าวว่า แม้ยอดผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าวยังอยู่ในระดับต่ำ แต่การที่ผู้ติดเชื้อแต่ละคนไม่มีความเกี่ยวข้องกันแสดงให้เห็นว่า BA.2.86 กำลังแพร่ระบาดเป็นวงกว้างมากขึ้นในตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่มีการลดการเฝ้าระวังทั่วโลก
ถึงแม้วัคซีนเข็มกระตุ้นรุ่นใหม่ที่จะออกมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้จะพุ่งเป้าไปที่การป้องกันโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนชนิด XBB และคาดว่าจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีต่อบรรดาสายพันธุ์ย่อยตัวใหม่ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าวัคซีนรุ่นใหม่จะสามารถป้องกัน BA.2.86 ได้ดีแค่ไหนและกำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการทดสอบ ยังพอมีเรื่องให้น่าใจชื้นอยู่บ้างเมื่อการทดสอบและยารักษาที่มีในตอนนี้ดูเหมือนว่ายังตอบสนองต่อสายพันธุ์ BA.2.86 ได้ดี แม้มันอาจทำให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนหรือผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 สามารถกลับมาติดเชื้อซ้ำอีกครั้งก็ตาม
ในเมื่อยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าสายพันธุ์ดังกล่าวจะมีความรุนแรงและสร้างปัญหาต่อมนุษย์ได้มากแค่ไหน เพราะฉะนั้นรัฐบาลและประชาชนในประเทศควรที่จะระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอเพื่อมีการรับมือที่ดีขึ้น เพราะการพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นในสหรัฐตอนนี้ไม่ได้เป็นเพราะสายพันธุ์ย่อยที่กำลังมีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างอย่าง เอริส ที่สามารถหลบภูมิคุ้มกันได้เก่งขึ้นเพียงอย่างเดียว ปัจจัยอื่นๆ ก็ส่งผลให้มีการระบาดเพิ่มขึ้นเช่นกัน อาทิ การที่ประชากรในประเทศไม่ได้เข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นมาสักระยะ ทำให้ภูมิคุ้มกันหมู่ลดลงกว่าเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ตามความเห็นของ นพ.โรเบิร์ต แวชเตอร์ ศาสตราจารย์และหัวหน้าคณะแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก
นอกจากนั้นแล้ว ผลสำรวจดัชนีด้านสุขภาพของชาวอเมริกันของ Ipsos ยังแสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกันจัดให้โรคโควิด-19 รั้งอันดับล่างสุดของลำดับภัยคุกคามทางสาธารณสุขที่สำคัญ ขณะที่จำนวนผู้ใหญ่ที่บอกว่าพวกเขาสวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในที่สาธารณะเป็นบางครั้งหรือทุกครั้ง ก็ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน นพ.แวชเตอร์กล่าวว่า ทุกคนมีวิธีการดูแลตัวเองที่ต่างกันออกไปและเขาไม่โทษเด็กวัยรุ่นที่สุขภาพดี ฉีดวัคซีนโควิดแล้ว ที่บอกว่าเขาพอแล้วกับเรื่องโควิด ตราบใดก็ตามที่พวกเขายังคงเฝ้าระวังและเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ไม่ว่าคุณจะรู้สึกยังไงกับการสวมหน้ากากอนามัย ต้องยอมรับให้ได้ว่าโควิด-19 จะไม่หายไปไหนในเร็วๆ นี้แน่นอน เพราะมันจะปรับตัวให้อยู่รอดต่อไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับมันให้ได้เช่นกัน เพราะทุกชีวิตต้องเดินหน้าต่อไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 4 กันยายน 2566