หอการค้าฯชู 4 แผน รับมือการเปลี่ยนแปลง หนุนจีดีพีไทยปีนี้โตเกิน 3%
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยหลังรับฟังนายกรัฐมนตรีแถลง 8 วิสัยทัศน์จุดพลังศักยภาพประเทศไทยเป็นที่ 1 ในภูมิภาค ทั้ง 8 ด้าน TOURISM HUB, WELLNESS & MEDICAL HUB, AGRICULTURE & FOOD HUB, AVIATION HUB, LOGISTIC HUB, FUTURE MOBILITY HUB, DIGITAL ECONOMY HUB และ FINANCIAL HUB
ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะวางวิสัยทัศน์ของประเทศในระยะยาว และยุทธศาสตร์ที่นำมาเสนอนั้นถือว่ามีเป้าหมายที่ชัดเจน สามารถเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับแนวคิด Connect Competitive Sustainable ของหอการค้าไทย ที่ใช้เป็นแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคเอกชน
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าประเทศไทยเจอความท้าทายที่หลากหลายในปีที่ผ่านมา ทำให้ GDP ในปี 2566 เติบโตได้ไม่เป็นไปตามที่คาดประมาณการไว้ ทั้งเศรษฐกิจโลกผันผวน – เปลี่ยนผ่านรัฐบาลช้ากระทบงบประเทศ – วิกฤตหนี้ครัวเรือน – ดอกเบี้ยสูง – รวมถึงกำลังผลิตหดตัวต่อเนื่อง ทำให้ GDP ที่งปี 2566 เติบโตเพียง 1.9% แม้ว่าเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
แต่ยังถือว่าเติบโตต่ำกว่าศักยภาพและประเทศเพื่อนบ้าน สำหรับปี 2567 นี้ หากรัฐบาลสามารถดำเนินการผลักดันตามยุทธศาสตร์แต่ละด้าน พร้อมกับเร่งให้งบประมาณรายจ่ายประจำปีออกมาใช้ได้รวดเร็วในช่วงต้นเดือนเมษายนตามที่ได้แถลงไว้ จะทำให้งบประมาณกระจายสู่พื้นที่ต่างๆ และเกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
หอการค้าฯ มองว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับ 4 การเปลี่ยนแปลงสำคัญ ที่ภาครัฐและเอกชนจะต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ได้แก่
(1)Geopolitical Change ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ความกังวลและความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ รวมถึงผลการเลือกตั้งผู้นำของสหรัฐและหลายประเทศในปีนี้ จะมีส่วนทำให้เกิดความผันผวนของนโยบายเศรษฐกิจโลกและกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยตรง ที่ผ่านมาต้องขอบคุณภาครัฐที่ทำให้ประเทศไทยสามารถวางตัวเป็นกลาง
รวมถึงที่เห็นชัดคือท่านนายกฯ เป็น Good Salesman ขยันขันแข็งลงพื้นที่เจรจากับประเทศต่างๆ เพื่อสร้างโอกาสให้ประเทศไทย ตลอดจนมีมาตรการส่งเสริมและสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ในส่วนนี้ภาคเอกชนพร้อมสนับสนุนรัฐบาลเป็น Team Thailand Plus ในการปลดล็อคส่งเสริมภาคการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว นำไปสู่การสร้างความเชื่อมั่น สร้างโอกาสในการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
(2)Technology Change ปัจจุบัน AI Technology เข้ามามีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศทุกมิติ ไทยจึงจำเป็นต้องให้ความจริงจังกับเรื่อง Digital Transformation โดยนำ Digital Technology มาใช้ก้าวข้ามการทำงานรูปแบบเดิมๆ ที่มีขั้นตอนเยอะ ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากยิ่งขึ้น การที่รัฐบาลประกาศว่าประเทศไทยจะเป็น Digital Economy Hub ภาคเอกชนมองว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ยังต้องเสริมเรื่องการยกระดับ Innovation และ Digital ซึ่งเป็นสิ่งประเทศไทยยังขาดอยู่ จึงเสนอให้ภาครัฐยกระดับมาตรการ Talent immigration policy เพื่อดึงดูดคนต่างชาติที่เก่งเข้ามาทำงานและอยู่อาศัยในประเทศไทยจะช่วยให้เกิดการสร้างงาน รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีและทักษะสมัยใหม่
โดยรัฐบาลควรมีมาตรการ Incentive ที่เหมาะสมเช่น การอำนวยความสะดวกเรื่อง Visa และ Work permit มาตรการทางภาษี มาตรการพำนักอยู่อาศัยที่เหมาะสม เป็นต้น นอกจากนี้เรื่อง e-Government หอการค้าฯ ยังได้ร่วมกับ สำนักงาน ก.พ.ร. และ กระทรวงพาณิชย์ ยกระดับ Ease of Doing Business ทั้งการปรับปรุงกฎระเบียบ การลดขั้นตอนการติดต่อ การขอและการเซ็นเอกสารจำนวนมากให้แล้วเสร็จภายในปีนี้เพื่อช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ
(3)Population Change ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาโครงสร้างประชากรจากแนวโน้มจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขาดแคลนแรงงานภายในประเทศในอนาคตอันใกล้ ดังนั้น รัฐบาลควรมีนโยบายเพิ่มจำนวนประชากรและพัฒนาประชากรให้มีคุณภาพ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก และสร้างคนไทยให้กลายเป็น Global Citizen ที่มีคุณภาพ ผ่านการยกระดับ Upskill Reskill อย่างต่อเนื่อง
ส่วนนี้ต้องอาศัยการทำงานที่สอดประสานกันระหว่างภาครัฐ โดยที่ผ่านมาหอการค้าฯ ร่วมมือกับ Harbour Space ซึ่งเป็น Startup University แบบใหม่ เข้ามาช่วยยกระดับทักษะใหม่ๆ ขับเคลื่อนการศึกษาที่ตอบโจทย์โลกอนาคต โดยนำคนเก่งจากทั่วโลกมาสอนนักศึกษาในประเทศไทย สร้าง Young Talent ด้าน IT เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้ทัดเทียมประเทศอื่นๆ ในเวทีโลก
นอกจากนั้น หอการค้าไทยยังส่งเสริมและเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแต่ละจังหวัด
โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ YEC ของหอการค้าไทย ได้มีส่วนร่วมไป Connect เครือข่ายกับกลุ่ม Young ในภูมิภาคมากขึ้น พร้อมกันนั้น มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังได้เปิดตัวสู่การเป็น AI University นำการเรียนการสอนแบบใหม่มาใช้ในการเรียนการสอน โดยใช้ AI เข้ามาเป็นผู้ช่วยในการทำงาน รวมถึงการพัฒนาทักษาะภาษาผ่าน App Duolingo เป็นต้น
(4)Climate Change ปัญหาเรื่องสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงช่วงที่ผ่านมาส่งผลกระทบทางตรงต่อประเทศไทย โดยเฉพาะสิ่งจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการคือการบริหารจัดการน้ำและแก้ไขปัญหาฝุ่นควันอย่างเป็นระบบ ปีนี้ต้องยอมรับว่ายังมีความกังวลต่อปัญหาภัยแล้งที่จะส่งผลต่อผลผลิตภาคเกษตรจากสภาวะเอลนีโญ (El Niño)
รวมถึงปัญหา PM 2.5 ที่อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการท่องเที่ยว
ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นโจทย์สำคัญที่รัฐบาลจะต้องเตรียมแผนระยะสั้นเพื่อรับมือ และวางมาตรการระยะยาวเพื่อไม่ให้ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบวงกว้างในภาคการเกษตร ภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ทั้งนี้ ภาคเอกชนเห็นว่ารัฐบาลเคยมีแผนบริหารจัดการน้ำเดิมอยู่แล้ว หากสามารถนำมาปรับปรุงและเชื่อมโยงโครงข่ายการจัดการน้ำทั่วประเทศ จะช่วยทำให้ภาคเกษตรมีความั่นคง ขณะเดียวกันภายในไตรมาส 2 ของปีนี้
หอการค้าฯ มีแผนนำคณะเดินทางไปเจรจาและหารือกับหน่วยงานรัฐและเอกชนประเทศเนเธอร์แลนด์ หนึ่งในประเทศผู้นำด้านการส่งออกผลผลิตภาคการเกษตรลำดับต้น ๆ ของโลก ในการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มผลผลิต พัฒนาการแปรรูป นำไปสู่การยกระดับรายได้และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของเกษตรกรไทย พร้อมกันนั้น
การที่รัฐบาลประกาศแนวทางเรื่อง Net Zero Carbon ภาคเอกชนก็พร้อมที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการปรับตัวเข้าสู่การค้ารูปแบบใหม่ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ผ่านมาตรการสิ่งจูงใจสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรแก่ธรรมชาติ (Nature Positive Economy)
ซึ่งนอกเหนือจาก 4 แผนรับมือการเปลี่ยนแปลงข้างต้นแล้ว หอการค้ายังพร้อมจะดำเนินการ 4 แผนเชิงรุก เสริมกับภาครัฐให้เกิดการลงมือทำร่วมกันดังนี้
1)ดูแลอัตราดอกเบี้ยและการสนับสนุนแหล่งเงินทุน ปัจจุบันภาคธุรกิจถูกกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูงและสถาบันการเงินก็มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ หอการค้าฯ จึงอยากให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาดูแลอัตราดอกเบี้ยที่สูงอยู่ในขณะนี้ ซึ่งจะช่วยลดภาระของประชาชนและลดต้นทุนผู้ประกอบการ รวมถึงเสนอให้มีมาตรการใหม่ ๆ ช่วยเหลือ SMEs ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน (เติมทุน แก้หนี้ และขยายกิจการ)
ซึ่งที่ผ่านมาแม้ทุกฝ่ายจะมีความตั้งใจดีที่อยากช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชน ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนแต่ยังไม่เกิดการทำงานที่เชื่อมโยงกัน
ยกตัวอย่าง การปล่อยสินเชื่อหรือการแก้หนี้ที่ภาครัฐพยายามช่วยเหลืออยู่ หากมองไปในระดับภูมิภาค สถาบันทางการเงิน แต่ละสาขาไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ ไม่รู้แนวทางที่ชัดเจน จึงไม่กล้าปล่อยสินเชื่อหรือปล่อยแบบดอกเบี้ยอัตราเสี่ยงสูง ส่วนนี้หอการค้าจังหวัดทั่วประเทศที่มีความใกล้ชิดกับผู้ประกอบการสามารถเข้าไปทำหน้าที่เป็นตัวกลางประสานงาน และขัดกรองผู้ประกอบการที่ยังมีศักยภาพให้กับสถาบันการเงิน เพื่อเข้าถึงสินเชื่อได้อย่างรวดเร็วพร้อมฟื้นฟูและขยายกิจการ
ขณะเดียวกันก็ช่วยทำให้สถาบันการเงินเกิดความมั่นใจในการปล่อยสินเชื่อไปพร้อมกัน นอกจากนี้ ในประเด็นหนี้นอกระบบที่ภาครัฐประเมินตัวเลขไว้ประมาณ 5 แสนล้านบาท ส่วนภาคเอกชน (กกร.) ประเมินไว้ 3 ล้านล้านบาท ซึ่งยังมีจำนวนและความคลาดเคลื่อนกันมากนั้น กกร.อยู่ระหว่างการสำรวจและประเมินตัวเลขหนี้ระบบของประเทศให้ชัดเจน ก่อนนำเสนอตัวเลขให้รัฐบาลได้พิจารณาถึงแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มต่าง ๆ ได้อย่างตรงจุด
2)การสนับสนุนการท่องเที่ยวคุณภาพสูง ปี 2567 จะเป็นอีกปีที่ภาคการท่องเที่ยวเติบโตโดดเด่น จากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่ต้นปีถึงถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์กว่า 5 ล้านคน โดยคาดการตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีประมาณ 35 ล้านคน และอาจทะลุถึง 38 ล้านคนได้ ทั้งนี้ ต้องขอบคุณรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว การยกเว้นการตรวจลงตรา (VISA FREE) ความพยายามในการเพิ่มเที่ยวบินจากต่างประเทศ และการกระตุ้นกิจกรรมท่องเที่ยวในรูปแบบงาน Event ต่างๆ ตลอดทั้งปี เช่น การจัดเทศกาลสงกรานต์และเพิ่มวันหยุดยาวช่วงดังกล่าวเชื่อว่าเทศกาลมหาสงกรานต์ปีนี้จะคึกคักมากเป็นพิเศษอย่างแน่นอน รวมถึงหากสามารถจัดการเรื่องการเพิ่มเที่ยวบินและปรับราคาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม สนับสนุนเงินทุนให้กับผู้ประกอบการในการพัฒนาคุณภาพ และเพิ่มกำลังการรองรับที่เพียงพอ จะยิ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ภาคการท่องเที่ยวกลับมาคึกคักได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น หอการค้าฯ และหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวยังมุ่งขยายผลการท่องเที่ยวคุณภาพสูง (Happy Model) โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นเมืองรอง ถือเป็นการโปรโมทแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ ทำให้นักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวไทยซ้ำในพื้นที่ใหม่ จะช่วยกระจายรายได้ให้กับผู้ประกอบการทั่วประเทศมากยิ่งขึ้น เสริมกับแผนงาน Soft Power ที่ทำร่วมกับภาครัฐ เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้สินค้าและบริการในพื้นที่ดึงดูดจุดเด่นของแต่ละจังหวัด เช่น งานปลาร้า หมอลำ ที่หอการค้าฯ จะเป็นแกนหลักในการผลักดันไปสู่ Event ใหญ่ของจังหวัดขอนแก่นปลายปีนี้
3)ยกระดับจังหวัดสู่เมืองหลักที่เข้มแข็งพร้อมการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ หอการค้าฯ และรัฐบาลอยู่ระหว่างเตรียมการรผลักดันโครงการพัฒนาเมืองรอง 10 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ จังหวัด นครพนม ศรีสะเกษ แพร่ ลำปาง นครสวรรค์ กาญจนบุรี ราชบุรี จันทบุรี ตรัง และนครศรีธรรมราช ที่ถือเป็นบิ๊กโปรเจคที่หอการค้าฯ และรัฐบาลจะร่วมกันดันเศรษฐกิจในระดับจังหวัดให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งการท่องเที่ยว การลงทุน และระบบ Infrastructure โดยภาคเอกชนพร้อมที่จะเริ่มกระตุ้นการลงทุนในท้องถิ่นอย่างจริงจัง ซึ่งจะเป็นโมเดลขยายผลกับจังหวัดอื่นๆ ในระยะต่อไป
ในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ ต้องขอขอบคุณรัฐบาลที่ได้ขยายเวลาลดค่าธรรมเนียมการโอน การจดจำนองเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เพื่อให้ประชาชนรายย่อยซื้อบ้านในราคาที่ไม่สูงมากและสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยมากขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการอสังหารายย่อยสามารถยื่นขอส่งเสริมจากบีโอไอ สร้างบ้านอยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อหน่วย จะช่วยให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจอื่น ๆ ใน Value Chian เพราะเป็นธุรกิจต้นน้ำที่สร้างมูลค่าเพิ่มและส่วนใหญ่เป็น Local Content นอกจากนี้ ภาคเอกชนยังอยากให้รัฐบาลได้พิจารณามาตรการลดหย่อนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกไปต่อ เพื่อลดภาระของประชาชนและผู้ประกอบการในช่วงที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่
4)การส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ การเร่งเดินหน้าเจรจา FTA เพื่อขยายตลาดการค้า การลงทุน ที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตสูง เช่น ซาอุดิอาระเบีย เวียดนาม และอินเดีย เป็นต้น ควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบาย FDI อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่ม Tech company เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ เข้าประเทศ ยกตัวความสำเร็จที่รัฐบาลสามารถดึง บริษัท Ctrls จากอินเดียเข้ามาลงทุน Data Center ในพื้นที่ EEC ได้ จะช่วยยกระดับประเทศ สร้าง Innovation ecosystem เตรียมความพร้อมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางดิจิทัลในภูมิภาค จะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศได้อย่างมหาศาล มหาศาล
ซึ่งหอการค้าไทยและเครือข่าย พร้อมร่วมมือกับภาครัฐ กระทรวงพาณิชย์ กระทวงต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในการรักษาตลาดคุณภาพเดิมควบคู่ไปกับการเดินหน้าขยายตลาดการค้า การลงทุน ใหม่ ที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตสูง ร่วมกัน ยกตัวอย่าง เช่น การจัดงานแสดงสินค้า ThaiFEX ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในกลางปีนี้ ที่ถือเป็นงานแสดงสินค้าด้านอาหาร ระดับ Top ของโลก
“ทั้งนี้ หอการค้าไทยและเครือข่ายพร้อมให้การสนับสนุนภาครัฐอย่างเต็มขีดความสามารถ และเชื่อว่าหากภาคเอกชนและภาครัฐผสานการทำงานร่วมกันตามข้อเสนอแนะ ทั้ง 4 แผนรับมือการเปลี่ยนแปลง และ 4 แผนงานเชิงรุก จะยิ่งเป็นกำลังเสริมให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยเติบโตเกิน 3% ได้อย่างแน่นอน
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567