"อังกฤษ" เข้าสู่ "เศรษฐกิจถดถอย" เป็นทางการ หลัง GDP หดตัว 2 ไตรมาสติด
"อังกฤษ" เข้าสู่ภาวะ "เศรษฐกิจถดถอย" อย่างเป็นทางการ หลัง GDP หดตัวในไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2566 ถือเป็นอีกหนึ่งความเสียหายครั้งใหญ่ของรัฐบาล "ริชี ซูแน็ก" ขณะที่คาดว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปีนี้
สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) เปิดเผยในวันนี้ (28 มี.ค.) ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอังกฤษอยู่ที่ -0.1% ในไตรมาส 3/2566 และ -0.3% ในไตรมาส 4/2566 ตรงตามตัวเลขประมาณการเบื้องต้น ซึ่งถือเป็นการยืนยันอย่างเป็นทางการว่า เศรษฐกิจอังกฤษเข้าสู่ภาวะถดถอยเล็กน้อยเมื่อปีที่แล้ว
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ตัวเลข GDP ดังกล่าวจะสร้างความผิดหวังให้กับนายกรัฐมนตรีริชี ซูแน็ก ผู้นำอังกฤษในช่วงก่อนการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ เนื่องจากฝ่ายค้านอย่างพรรคแรงงานกำลังมีคะแนนนำโด่งในโพลสำรวจความเห็น นอกจากนี้ พรรคแรงงานยังกล่าวหาว่า นายกฯทำให้เศรษฐกิจถดถอยโดยเรียกว่า “ภาวะถดถอยของริชี” (Rishi's recession)
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของอังกฤษได้ส่งสัญญาณฟื้นตัวในช่วงต้นปี 2567 โดย GDP เติบโต 0.2% เมื่อเทียบรายเดือนในเดือน ม.ค. อีกทั้งผลสำรวจอย่างไม่เป็นทางการก็บ่งชี้ว่า การเติบโตนี้จะดำเนินต่อไปในเดือน ก.พ. และ มี.ค.ด้วย
ถึงกระนั้น อังกฤษยังคงฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 อย่างเชื่องช้า และเศรษฐกิจของอังกฤษมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าช่วงปลายปี 2562 เพียง 1% เท่านั้น เมื่อเทียบกับประเทศสมาชิกกลุ่ม G7 แล้ว มีเพียงเยอรมนีเท่านั้นที่มีผลงานแย่กว่านี้
ตลอดทั้งปี 2566 GDP อังกฤษโดยรวมเติบโตเพียง 0.1% ซึ่งหากไม่นับรวม GDP ปี 2563 ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิดแล้ว นี่ถือเป็นผลงานที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 ที่เป็นช่วงปลายของวิกฤตการณ์การเงินระดับโลก
ด้านธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ซึ่งระบุไว้ว่า อัตราเงินเฟ้อเริ่มลดระดับลงจนอาจเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยลงได้นั้น คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะโตเพียง 0.25% ในปีนี้ แม้ว่าหน่วยพยากรณ์งบประมาณอย่างเป็นทางการคาดว่า GDP จะขยายตัว 0.8%
นอกจากนี้ ตัวเลขที่ออกมาในวันนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของรายได้ที่แท้จริงที่ครัวเรือนสามารถจับจ่ายได้ อยู่ที่ 0.7% ซึ่งสูงขึ้นจากที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในไตรมาสก่อนหน้า
ONS ระบุว่า ประชาชนเก็บออมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยอัตราส่วนเงินออมเพิ่มเป็น 10.2% ในไตรมาส 4/2566 จากระดับ 10.1% ในไตรมาสก่อนหน้า
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 28 มีนาคม 2567