จีนเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่าน สู่ "พลังงานสะอาด" จริงหรือ?
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศจีนได้ลงทุนอย่างมากในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด จนทำให้อัตราการผลิตพลังงานสะอาดของจีนสูงกว่าหลายประเทศทั่วโลก นี่ทำให้หลายคนมองว่าจีนได้กลายเป็นผู้นำในด้านการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานยั่งยืน อย่างไรก็ตาม มุมมองนี้ยังมีข้อโต้แย้งบางประเด็น และในบทความนี้เราจะไปดูกันว่าประเด็นเหล่านั้นคืออะไร
ในการผลิตพลังงานหมุนเวียนนั้น พูดได้ว่าประเทศจีนเป็นผู้นำอย่างแท้จริง อย่างในปัจจุบัน กำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) ของจีนก็ครองกว่า 80% ของการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วโลก อันที่จริงแล้วการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ของจีนสูงกว่าประเทศใหญ่ ๆ อย่างสหรัฐและสหภาพยุโรป มาตั้งแต่ปี 2013 และ 2017 ตามลำดับ
ซึ่งอัตราการผลิตพลังงานหมุนเวียนของจีนที่เยอะนั้น มีส่วนช่วยให้ราคาพลังงานเหล่านี้ลดลงมาทั่วโลก และทำให้ประเทศรายได้น้อยมีโอกาสเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนได้มากขึ้นด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น จีนยังเป็นผู้นำในการผลิตพลังงานสะอาดชนิดอื่น ๆ โดยเฉพาะพลังงานนิวเคลียร์ จากรายงานของ Information Technology & Innovation Foundation จีนมีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่กำลังก่อสร้างอยู่ 27 แห่ง ซึ่งน่าจะก่อสร้างเสร็จภายในอีก 7 ปีข้างหน้า
นี่ถือเป็นแผนการก่อสร้างที่เร็วกว่าหลายประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลก็มีส่วนช่วยให้เทคโนโลยีการผลิตพลังงานนิวเคลียร์ของจีนนั้นก้าวหน้ากว่าหลายประเทศ ซึ่งบทความใน Investing.com ชี้ไว้ว่าเทคโนโลยีการผลิตพลังงานนิวเคลียร์ของจีนนั้น น่าจะนำหน้าสหรัฐอยู่ถึง 15 ปีเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม แม้จะทำได้ดีในการผลิตพลังงานสะอาด จีนก็ยังคงเป็นประเทศที่มีการปล่อยมลพิษมากที่สุดในโลก โดยจีนยังคงพึ่งพาพลังงานจากถ่านหินค่อนข้างสูง ยิ่งในช่วงที่เกิดสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนแล้วนั้น พลังงานถ่านหินก็ยิ่งเป็นที่ต้องการในจีน เพราะสงครามทำให้ราคาพลังงานทางเลือกอื่น ๆ เช่น พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ หรือพลังงานจากน้ำแพงขึ้นมาก
โดยในปี 2021 จีนถูกจัดเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลก ซึ่งการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของจีนมีสัดส่วนถึง 30% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก (ข้อมูลจาก Global Carbon Atlas)
นอกจากนี้ พลังงานสะอาดที่ถูกผลิตในจีนยังดูไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศอีกด้วย อย่างไรก็ดี การผลิตพลังงานนิวเคลียร์ก็ยังถูกจำกัดโดยปัญหาด้านการขนส่ง พร้อมทั้งข้อจำกัดทางกฎหมาย พื้นที่ในการสร้างโรงไฟฟ้า และความปลอดภัย
บทวิเคราะห์ของ Renew Economy ก็มองไว้ว่า อัตราการผลิตพลังงานสะอาดทั้งหมดของจีนรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม หรือพลังงานนิวเคลียร์ ก็ยังไม่น่าจะเทียบเท่าการผลิตพลังงานถ่านหิน จนกว่าจะถึงปี 2035 และแม้อัตราการผลิตพลังงานสะอาดจะเทียบเท่ากับการผลิตพลังงานถ่านหินได้แล้ว ก็ยังมีโอกาสที่จะไม่เพียงพอต่อความต้องการพลังงานในประเทศจีนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
นี่แปลว่าหนทางของจีนในการลดการปล่อยมลพิษนั้นยังคงอีกยาวไกล
โดยสรุปแล้ว ประเทศจีนอาจเป็นผู้นำในด้านการผลิตพลังงานสะอาด แต่ก็ยังเป็นผู้ตามด้านการลดการปล่อยมลพิษ ดังนั้น คำตอบว่าจีนจะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดได้ไหมจึงยังคลุมเครือ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เรารู้ก็คือ หากจีนสามารถหาหนทางในการลดการปล่อยมลพิษลงได้ ประเทศคงเป็นตัวเต็งในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างแน่นอน
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 8 กรกฏาคม 2567