เปิดข้อเสนอไทยเตรียมแผน รับนโยบายประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่
สนค. เผยประเทศไทยต้องเตรียมรับมือหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พฤศจิกายน 2567 นี้ ทั้งด้านการค้า นโยบายเศรษฐกิจ รับสหรัฐฯ เป็นประเทศมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลก ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร และเทคโนโลยี
วันที่ 14 กรกฎาคม 2567 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การเลือกตั้งสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากจะบ่งชี้ถึงทิศทางภูมิทัศน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกหลังจากนี้ ด้วยสหรัฐฯ เป็นประเทศมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลก ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร และเทคโนโลยี ในด้านการเมือง สหรัฐฯ นับเป็นผู้นำประเทศโลกเสรีที่กุมทิศทางการเมืองโลก และด้านเศรษฐกิจ สหรัฐฯ มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มูลค่า 27.36 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25.95 ของ GDP โลก และมีรายได้ต่อหัวสูงถึง 81,695.2 เหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 และเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทย (รองจากจีน) รวมถึงยังเป็นประเทศที่มียอดคงค้างเงินลงทุนโดยตรงในไทยเป็นอันดับ 5 (รองจาก ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และเนเธอร์แลนด์) การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ส่งผลต่อเศรษฐกิจการค้าโลกอย่างมีนัยสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วง 7 – 8 ปีผ่านมา ในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จากการใช้ “นโยบายสหรัฐอเมริกาต้องมาก่อน” (American First Policy) ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นชาตินิยม การคงไว้ซึ่งการเป็นมหาอำนาจ การปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ และการสร้างความมั่นคงของชาติ และการเริ่มทำสงครามการค้ากับจีน ที่ทำให้เศรษฐกิจการค้าโลกและไทยชะลอตัว/หดตัวอย่างชัดเจน
และในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโจ ไบเดน ที่มีการทำสงครามเทคโนโลยีกับจีน รวมถึงการออกพระราชบัญญัติชิปและวิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ และพระราชบัญญัติการลดเงินเฟ้อ เพื่อจัดการปัญหาเงินเฟ้อและประเด็นภาวะโลกร้อน สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า
นอกจากนี้ ยังมีความพยายามที่จะย้ายฐานการผลิตกลับสู่ประเทศตนเอง ย้ายฐานการผลิตเข้าใกล้ตลาด และย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศพันธมิตรในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ของห่วงโซ่อุปทานและเศรษฐกิจโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากกระแสการเคลื่อนย้ายทางการค้าและการลงทุนของโลกที่เร่งตัวขึ้นทิศทางการค้าหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ คาดว่าจะเป็นการแข่งขันระหว่างไบเดนจากพรรคเดโมเครต กับทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน ซึ่ง
ใครจะเป็น ปธน.สหรัฐ มีผลต่อศก. :
นายพูนพงษ์ กล่าวอีกว่า สนค. ประเมินหากไบเดนชนะการเลือกตั้ง การดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศและการค้าระหว่างประเทศจะเป็นไปในทิศทางเดิม แต่หากทรัมป์ชนะ อาจเห็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ 2 มิติ ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง ได้แก่ ด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยจะลดการให้ความช่วยเหลือประเทศที่อยู่ในพื้นที่ขัดแย้ง โดยเฉพาะการยกเลิก/ลดการสนับสนุนยูเครน ซึ่งจะส่งผลให้สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน สิ้นสุดในไม่ช้า
แต่ในขณะเดียวกัน การลดบทบาทของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนความมั่นคงในเวทีโลก โดยเฉพาะ NATO อาจทำให้มีความขัดแย้งในพื้นที่อื่น ๆ ปะทุได้ง่ายขึ้น ซึ่งวันนี้แทบปฏิเสธไม่ได้ว่าความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในด้านเศรษฐกิจ การใช้มาตรการปกป้องทางการค้าของสหรัฐฯ จะเข้มข้นขึ้น รวมถึงสงครามการค้ากับจีน
จะทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยจะมีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าทุกประเภทจากทุกประเทศร้อยละ 10 และจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนร้อยละ 60
ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ไบเดน ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากจีนเฉพาะสินค้าที่ถูกพิจารณาว่ามีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์ โซลาร์เซลล์ เหล็กและอะลูมิเนียม รวมถึงแร่ธาตุสำคัญ
นอกจากนี้ การกลับมาของทรัมป์ที่น่าจะมาพร้อมกับนโยบาย American First อาจทำให้เกิดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการค้าโลกจะมีความยากลำบากมากขึ้น ด้วยการตั้งกำแพงภาษี สกัดสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมและสร้างงานในประเทศ ซึ่งจะทำให้ประเทศต่าง ๆ ที่เคยได้รับประโยชน์จากการลงทุนของสหรัฐฯ และบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เผชิญการถอนการลงทุนออก
โดยเฉพาะบริษัทในสาขาอุตสาหกรรมที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญที่ปัจจุบันยังตั้งอยู่ในจีน และบริษัทที่ได้ขยาย/ย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมาที่ภูมิภาคอาเซียน อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย ในช่วงก่อนหน้า อาจมีบางส่วนย้ายกลับสหรัฐฯ หรือประเทศในภูมิภาคอเมริกาเหนือ เพื่อลดความเสี่ยงทางการค้า แผนนโยบายที่ต้องเตรียมรับมือผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ
จากโพลล์ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า ความนิยมของผู้ลงสมัครเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากทั้งสองพรรค ค่อนข้างมีคะแนนที่ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ดี หากทรัมป์ชนะอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการค้าของสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อการค้าโลก
ไทยต้องเตรียมตั้งรับ :
ดังนั้นไทยจึงควรเตรียมพร้อมวางแผนตั้งรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้โดย
1)ติดตามสถานการณ์การเลือกตั้งและนโยบายทางเศรษฐกิจ รวมถึงนโยบายการต่างประเทศ ที่ผู้แทนจากทั้งสองพรรคประกาศในช่วงหาเสียงอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบายหรือมาตรการที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้า การลงทุน และห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมไทย เพื่อปรับตัว/รับมือกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น
2)ดำเนินมาตรการปกป้องทางการค้าอย่างเหมาะสม กรณีเกิดการใช้มาตรการปกป้องทางการค้าที่เข้มข้นขึ้นจากประเทศผู้นำเข้าอันดับ 1 ของโลกอย่างสหรัฐฯ อาจทำให้ปริมาณสินค้าบางส่วนไหลเข้าสู่ตลาดโลก รวมถึงไทย นอกจากนี้ อาจส่งผลให้หลายประเทศ โดยเฉพาะชาติตะวันตกใช้มาตรการปกป้องทางการค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งไทยอาจจำเป็นต้องดำเนินมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมสำคัญภายในประเทศในกรณีที่มีสินค้าราคาถูกไหลทะลักเข้ามาในประเทศอย่างเหมาะสม
3)ส่งเสริมผู้ประกอบการทั้งด้านการลงทุน การผลิต และการค้า รวมถึงเร่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเร่งดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา เร่งพัฒนาแรงงานฝีมือ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ปรับปรุงและพัฒนากฎ ระเบียบ และข้อบังคับในการทำธุรกิจ รวมถึงอำนวยความสะดวกทางการค้า ตลอดจนเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีเพื่อสร้างแต้มต่อทางการค้าและการลงทุน
4)กระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับพันธมิตรทางการค้า เพื่อรักษาสมดุลระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มการแยกส่วนทางเศรษฐกิจ โดยการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งระดับรัฐบาล สถาบันวิจัย และองค์กรธุรกิจ ในการต่อยอดองค์ความรู้และพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี และการผลิตของไทย รวมถึงส่งเสริมการสร้างพันธมิตรทางการค้าที่แข็งแกร่งเพื่อขยายการค้าและการลงทุน
5)มุ่งเน้นดูแลเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ อาทิ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย อัตราเงินเฟ้อ และการจ้างงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ตลอดจนเสริมสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
ข้อเสนอแนะสำหรับผู้ประกอบการ :
เพื่อรับมือกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้นในบางสาขาอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการ ดังนี้
1)ปรับกลยุทธ์ทางการค้าและการส่งออก โดยการเปิดตลาดใหม่ การกระจายความเสี่ยงของตลาดส่งออก รวมถึงการปรับใช้ e-Commerce ในการส่งออกสินค้าไปยังผู้บริโภคทั่วโลกโดยตรง
2)ใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางการค้าที่อาจเกิดขึ้น กรณีมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าจากจีนที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 60 จะทำให้สหรัฐฯ มีแนวโน้มบริโภคสินค้าที่ผลิตในประเทศมากขึ้นหรือนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นทดแทนสินค้าจีน ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ประเทศที่สาม รวมถึงไทย ในการขยายส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ
3)ลดความผันผวนทางการค้าและกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยเพิ่มความหลากหลายของแหล่งวัตถุดิบ/สินค้านำเข้า ไม่ให้พึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายขยายการผลิตในประเทศหรือส่งเสริมการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ ผ่านการส่งเสริมการสร้างพันธมิตรทางการค้า และมองหาคู่ค้ารายใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงที่ห่วงโซ่อุปทานจะหยุดชะงัก
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 14 กรกฏาคม 2567