เปิดแผน "เศรษฐกิจแห่งโอกาส"ของ"แฮร์ริส" วิสัยทัศน์ใหม่ หรือแค่ ประชานิยม?
วิเคราะห์แผนเศรษฐกิจใหม่ของกมลา แฮร์ริส ลดภาษี-แก้ปัญหาที่อยู่-คุมราคา โอกาสจริงหรือแค่นโยบายประชานิยม? แบบเสรีนิยม
นางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ได้ประกาศนโยบาย "เศรษฐกิจแห่งโอกาส" (Opportunity Economy) ในการปราศรัยที่รัฐนอร์ทแคโรไลนา โดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาค่าครองชีพและสร้างความเข้มแข็งให้กับชนชั้นกลาง
นโยบายสำคัญที่แฮร์ริสนำเสนอ ประกอบด้วย
1)การลดภาษีและเพิ่มเครดิตภาษี ด้วยข้อเสนอเครดิตภาษีเด็กใหม่สูงถึง 6,000 ดอลลาร์สำหรับครอบครัวที่มีทารก และลดภาษีสำหรับครอบครัวที่มีบุตร
2)นโยบายที่อยู่อาศัย โดยมีเป้าหมายการสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ 3 ล้านยูนิตภายใน 4 ปี ให้แรงจูงใจทางภาษีแก่ผู้สร้างบ้านสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกด้วยการให้เงิน 25,000 ดอลลาร์ รวมถึงขยายความช่วยเหลือด้านการเช่า และควบคุมการขึ้นค่าเช่าและมาตรการป้องกันการซื้อบ้านจำนวนมากของบริษัทในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท เพื่อไปขายต่อในราคาแพง
3)การควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ด้วยการห้ามการ "ขึ้นราคาเกินควร" โดยร้านขายของชำ โดยจะมอบหมายให้คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางกำหนดบทลงโทษสำหรับบริษัทที่ละเมิดข้อจำกัดการขึ้นราคา
4)นโยบายด้านสาธารณสุข เช่น ลดค่ายารักษาโรค ลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ ยกเลิกหนี้ทางการแพทย์
แฮร์ริสกล่าวว่านโยบายเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชนชั้นกลาง ซึ่งเธอเชื่อว่าเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจอเมริกา อย่างไรก็ตาม นโยบายเหล่านี้อาจเผชิญกับการต่อต้านจากทั้งภาคธุรกิจและรัฐสภา โดยฝ่ายตรงข้ามมองว่าอาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและเพิ่มการขาดดุลงบประมาณ
คณะกรรมการเพื่องบประมาณที่รับผิดชอบของรัฐบาลกลางประมาณการว่า แผนเศรษฐกิจของแฮร์ริสอาจเพิ่มการขาดดุลสุทธิถึง 1.7-2 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า
ขณะที่ฝ่ายรีพับลิกันวิจารณ์ว่านโยบายเหล่านี้เป็นแนวคิดประชานิยมแบบเสรีนิยมที่ไม่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ
การประกาศนโยบายครั้งนี้ถือเป็นความพยายามของแฮร์ริสในการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องภาษีศุลกากรและภาษี ซึ่งแฮร์ริสคัดค้านข้อเสนอของทรัมป์ที่จะเก็บภาษีศุลกากรใหม่แบบทั่วถึงสำหรับสินค้านำเข้า โดยระบุว่าจะส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้น
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 17 สิงหาคม 2567