อินเดียเสียงแตก ควรผ่อนปรน FDI จากจีนหรือไม่
หลังจากที่รายงานทบทวนแนวโน้มเศรษฐกิจประจำปีของอินเดียเสนอให้เปิดรับ FDI จากจีนเป็นครั้งแรก ทำให้มีการโต้เถียงกันท่ามกลางผู้กำหนดนโยบายและนักวิชาการในอินเดียอย่างกว้างขวาง ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปใด ๆ
วันที่ 20 สิงหาคม 2024 นิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานว่า รายงานเศรษฐกิจสำคัญของอินเดียกระตุ้นให้เกิดการถกเถียงครั้งใหม่ขึ้น ว่าอินเดียควรผ่อนปรนข้อจำกัดการลงทุนจากจีนหรือไม่ หรือควรมุ่งเน้นไปที่การค้ากับจีนต่อไปเหมือนเดิม
จากรายงานการทบทวนเศรษฐกิจและแนวโน้มการเติบโตของอินเดียประจำปี ที่เผยแพร่ออกมาช่วงเดือนกรกฎาคม ซึ่งกระตุ้นให้อินเดียรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จากจีนเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ที่อินเดียเริ่มจำกัดการลงทุนจากจีนในปี 2020 อันเป็นผลจากข้อพิพาทชายแดน
กฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นเมื่อเดือนเมษายน 2020 จำกัดความสามารถของจีนในการเข้ามาลงทุนในอินเดีย โดยต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลล่วงหน้า นับตั้งแต่นั้นมา อินเดียเซ็นรับรอง FDI จากจีนเพียง 1 ใน 4 ของ FDI ทั้งหมด 435 ใบ
รายงานดังกล่าวระบุว่า เศรษฐกิจของอินเดียและการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานโลก อาจได้รับประโยชน์จากนโยบาย “จีนบวกหนึ่ง” ที่นำโดยชาติตะวันตก เพื่อย้ายแหล่งจัดหาและการผลิตออกไปนอกจีน
รายงานเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมของ วี. อนันต นาเกสวรัณ (V. Anantha Nageswaran) ประธานที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลอินเดียระบุว่า กลยุทธ์ FDI เพื่อรับประโยชน์จากแนวทางจีนบวกหนึ่งนั้นมีประโยชน์กว่า เนื่องจากสหรัฐและยุโรปกำลังย้ายการจัดหาออกจากจีน ดังนั้น การให้บริษัทจีนเข้ามาลงทุนในอินเดียแล้วส่งออกไปยังตลาดตะวันตกแทน จะมีประสิทธิภาพมากกว่าการนำสินค้าจีนเข้ามาเพิ่มมูลค่าเพียงเล็กน้อยในอินเดียแล้วค่อยส่งออก
เนียร์มาลา สิฐรามัน (Nirmala Sitharaman) รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอินเดีย สนับสนุนการผ่อนคลาย FDI ระหว่างการแถลงข่าว แต่ต่อมา นายปิยุช โกยัล (Piyush Goyal) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม กลับไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของนาเกสวรัณ โดยบอกกับผู้สื่อข่าวว่า “ขณะนี้ยังไม่มีการทบทวนเพื่อสนับสนุนการลงทุนของจีนในประเทศ”
ในปีงบประมาณที่สิ้นสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อินเดียขาดดุลการค้ากับจีน 85,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.91 ล้านล้านบาท) จากมูลค่าการค้าระหว่างจีนและอินเดียทั้งหมดราว 118,400 ล้านดอลลาร์ (ราว 4 ล้านล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อนหน้า โดยมูลค่าการส่งออกของอินเดียมีเพียง 16,700 ล้านดอลลาร์ (ราว 5.73 ล้านบาท) ขณะที่การนำเข้าสินค้าจีน เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร และสารเคมี มีมูลค่าถึง 101,700 ล้านดอลลาร์ (ราว 3.49 ล้านล้านบาท)
ราชกุมาร ชาร์มา (Raj Kumar Sharma) นักวิจัยอาวุโสจากแนตสแตรต (NatStrat) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านความมั่นคงและนโยบายต่างประเทศ กล่าวว่าการผ่อนปรนนโยบาย FDI ใด ๆ ควรจำกัดอยู่เฉพาะภาคส่วนที่สามารถขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียเอง เช่น เทคโนโลยีขั้นสูง อย่างยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ซึ่งอาจรวมถึงการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับจีนเพื่อเพิ่มการผลิตในอินเดียและลดการนำเข้าจากจีนด้วย
ชาร์มาเสริมว่าไม่มีประเทศใดในโลกที่ยับยั้ง FDI จากจีนได้หมด และแนวโน้มทางภูมิเศรษฐกิจในโลกตะวันตกไม่ได้ต่อต้านจีนโดยสิ้นเชิง โดยชี้จากการที่จอร์เจีย เมโลนี (Giorgia Meloni) นายกรัฐมนตรีอิตาลีเดินทางไปเยือนจีนเมื่อเดือนที่แล้วเพื่อปรับความสัมพันธ์กับจีน จากเดิมที่ตึงเครียดกันอยู่
อย่างไรก็ตาม อาเจย์ ศรีวัฒวะ (Ajay Srivastava) ผู้ร่วมก่อตั้งโกลบอลเทรดรีเสิร์ชอินนิชิเอทีฟ (Global Trade Research Initiative) ซึ่งเป็นกลุ่มวิจัยในนิวเดลี กล่าวว่าความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาวและความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์ของอินเดียอาจถูกบ่อนทำลายได้ สิ่งที่ต้องทำคือพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศและเพิ่มการจ้างงานที่มีความหมายต่อพลเมืองอินเดียแทน ซึ่งอินเดียพึ่งพาการค้ากับจีนอย่างมาก โดยเฉพาะภาคการผลิต รวมถึงส่วนประกอบสำคัญในการผลิตยา
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 20 สิงหาคม 2567