มุมมอง ศ.ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รับมือ "โลกป่วน" หลังเลือกตั้งสหรัฐ
ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพฤศจิกายนนี้จะส่งผลกระทบต่อโลกอย่างไร จะทำให้โลกเปลี่ยนไปแค่ไหน และจะส่งผลต่อไทยในแบบไหนบ้าง
ศ.ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ฉายภาพตอบคำถามนี้ได้เป็นอย่างดี ในปาฐกถาหัวข้อ “US Election 2024” บนเวทีสัมมนา “US 2024 เจาะลึกศึกชิงทำเนียบขาว” เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2024 ณ เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท อาคารเกษรทาวเวอร์ จัดโดยเครือมติชนและพันธมิตร นำโดยสมาคมอเมริกันศึกษาในประเทศไทย และคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และพันธมิตรหน่วยงานต่างๆ
ดร.สุรเกียรติ์วิเคราะห์ว่า การคาดการณ์ว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” จากพรรครีพับลิกัน หรือ “คามาลา แฮร์ริส” จากพรรคเดโมแครต จะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐนั้นเป็นเรื่องยาก ต้องตัดสินกันหน้างาน
ส่วนผลกระทบต่อโลกนั้น ดร.สุรเกียรติ์มองว่า ผลกระทบด้านต่าง ๆ มีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางเดิม เพียงแต่จะรุนแรงขึ้นหรือไม่ และรุนแรงขึ้นในเรื่องไหน ขึ้นอยู่กับว่าใครชนะการเลือกตั้ง
ไม่ว่าใครจะชนะโลกยังปั่นป่วนต่อไป :
ดร.สุรเกียรติ์กล่าวว่า ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า ถ้าทรัมป์เป็นประธานาธิบดี โลกจะปั่นป่วน แต่การเมืองสหรัฐจะนิ่ง แต่ถ้าแฮร์ริสเป็นประธานาธิบดี โลกจะไม่ค่อยปั่นป่วน แต่การเมืองสหรัฐจะปั่นป่วน เพราะฝ่ายสนับสนุนทรัมป์อาจจะแสดงความไม่พอใจในลักษณะที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเท่าไรนัก
“ไม่ว่าใครจะชนะได้เป็นประธานาธิบดี โลกก็จะยังปั่นป่วนอยู่ดี ในพื้นที่ตะวันออกกลาง รัสเซีย-ยูเครน คาบสมุทรเกาหลี ช่องแคบไต้หวัน ทะเลจีนใต้ จะยังมีความปั่นป่วนต่อไป แต่ถ้าแฮร์ริสได้เป็นประธานาธิบดี จะเป็นความปั่นป่วนที่คาดเดาได้อย่างที่เห็นในสมัยของโจ ไบเดน แต่ถ้าทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีจะเป็นความปั่นป่วนที่คาดการณ์ไม่ค่อยได้”
กรณีรัสเซีย-ยูเครน ทรัมป์อาจลดความขัดแย้งลง โดยพูดคุยกับรัสเซียมากขึ้น ลดการสนับสนุนยูเครนลง แต่กรณีเกาหลีเหนือและไต้หวันยังคาดการณ์ไม่ได้ ส่วนเรื่องนโยบายกีดกันทางการค้าคาดว่าจะขึ้น ๆ ลง ๆ คาดการณ์ไม่ค่อยได้
การกีดกันทางการค้า การกีดกันทางเทคโนโลยี การแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้านเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) อาจจะรุนแรงขึ้น หรืออาจจะผ่อนคลายลง ขึ้นอยู่กับว่าการเจรจาทางธุรกิจเป็นอย่างไร
ทรัมป์เป็นนักเจรจา วางผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไว้ข้างหน้า นโยบายจะเป็นการซ้อนกันของเศรษฐกิจและการเมือง และเป็นการทดสอบการตอบรับ (Feedback) ของคนระดับกลางและระดับฐานรากของสังคมอเมริกาตลอดเวลา
ขณะที่ถ้าคามาลา แฮร์ริส เป็นประธานาธิบดี การสนับสนุนยูเครนจะยังมีต่อไป แม้ว่าสภาคองเกรสและปัญญาชนในสหรัฐไม่เห็นด้วยเท่าเดิมแล้ว
ผลกระทบเศรษฐกิจโลก :
สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ดร.สุรเกียรติ์กล่าวว่า ปัจจุบันโลกมีระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ 2 แบบ คือ ระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศแบบเดิม กับระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศแบบทางเลือกใหม่ (Alternative International Economic Order) ซึ่งต้องพิจารณาทั้งสองแบบ
ถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี จะสร้างความสั่นไหวให้การเปิดเสรีการค้าและกรอบความร่วมมือต่าง ๆ เช่น กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF) ที่ไบเดนคิดขึ้นมา ซึ่งไทยก็จะเข้าร่วม แต่ต้องติดตามว่าทรัมป์จะเดินหน้าต่อหรือไม่
ถ้าทรัมป์เป็นประธานาธิบดี การกีดกันการค้าและการแข่งขันกับจีนคงมากขึ้น ตามที่ทรัมป์ได้หาเสียงเอาไว้ แต่มากขึ้นอย่างเอาแน่เอานอนไม่ได้ คาดเดาไม่ได้ เพราะทรัมป์เอาใจอุตสาหกรรมในประเทศ การตัดสินใจของทรัมป์จะขึ้นอยู่กับการล็อบบี้ของภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีความสามารถในการแข่งขันน้อย แต่มีความสามารถในการล็อบบี้สูง
“ถ้าแฮร์ริสเป็นประธานาธิบดี กรอบ IPEF ที่ไบเดนตั้งขึ้นจะเดินหน้าต่อ และคงจุดยืนไม่กลับเข้าเป็นสมาชิก ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ตามไบเดน ด้านความสัมพันธ์กับจีนจะแข่งขันต่อเนื่องและคาดการณ์ได้ ใช้กฎเกณฑ์ทางการค้าบ้าง โดยไม่ใช้เกณฑ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) แต่ใช้ข้อตกลงทวิภาคีแทน”
ส่วนระบบเศรษฐกิจทางเลือกใหม่ คือ การรวมตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มต่าง ๆ และเครื่องมือทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น กลุ่มบริกส์ (BRICS) ที่ขยายใหญ่ขึ้น, ระบบการโอนเงินระหว่างประเทศของจีนที่สามารถใช้แทนระบบ SWIFT ได้, การเพิ่มบทบาทของเงินหยวนและลดบทบาทเงินดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินระหว่างประเทศ จะยังคงถูกต่อต้านจากสหรัฐ คล้าย ๆ กัน ไม่ว่าใครจะชนะก็ตาม
ผลต่อการเมืองระหว่างประเทศ :
ด้านการเมืองและความมั่นคง ดร.สุรเกียรติ์มองว่า ทรัมป์อาจพยายามยุติสงครามยูเครน แต่จะทำได้หรือไม่ต้องติดตามต่อไป เพราะการกระทำเช่นนั้นจะขัดกับมติของพันธมิตรตะวันตก
จุดยืนของทั้งทรัมป์และแฮร์ริสต่อความขัดแย้งในตะวันออกกลางน่าจะคล้ายกัน ยังคงสนับสนุนอิสราเอลและไม่กล้าห้ามปรามอิสราเอลมากทั้งคู่ เพราะพลังของชาวยิวในสหรัฐมีมาก
จุดยืนต่อผู้ก่อการร้ายกลุ่มต่าง ๆ จะยังเหมือนเดิม และทั้งสองคงมีมุมมองเหมือนกันว่าอิหร่านเป็นศัตรูทางการเมืองและการทหาร
นโยบายแหย่จีนเพื่อให้จีนไม่สามารถอยู่นิ่งได้ จะยังคงเหมือนเดิมและเหมือนกัน ไม่ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดี และคาดว่าสหรัฐจะมีความพยายามดึงเอาพันธมิตรของจีนไปอยู่ฝั่งสหรัฐและตะวันตกมากขึ้น
นอกจากนั้น ผลกระทบต่อองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาบทบาทขององค์กรระหว่างประเทศถูกด้อยค่า สหรัฐไม่ให้ความสำคัญองค์กรระหว่างประเทศไม่ว่าจะเป็น สหประชาชาติ (UN) องค์การการค้าโลก (WTO) และศาลโลก (ICJ) คาดว่าสภาพเหล่านี้จะดำเนินต่อไป ไม่ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีก็ตาม
ความขัดแย้งซับซ้อน เลือกข้างยากขึ้น :
ดร.สุรเกียรติ์ชี้ว่า สิ่งที่น่าสนใจ คือ ประเทศหนึ่ง ๆ มีจุดยืนแยกเป็นเรื่อง ๆ ไม่สามารถพูดเป็นภาพรวมได้ว่าประเทศไหนอยู่ฝั่งใด อย่างเช่น อินเดีย ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มบริกส์ ในเรื่องเศรษฐกิจอินเดียอยู่ฝั่งชาติตะวันตก แต่ในเรื่องรัสเซีย-ยูเครน อินเดียไม่อยู่ฝั่งตะวันตก เพราะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัสเซียและได้ประโยชน์จากการซื้อน้ำมันราคาถูก
จะเห็นว่าเรื่องการเมืองกับเศรษฐกิจมีการผสาน (Merge) กัน สงครามทางเศรษฐกิจกับสงครามแย่งดินแดนแบบดั้งเดิมไม่ได้แยกขาดจากกันเหมือนในอดีต แต่มีผลเชื่อมโยงกัน ทำให้แต่ละประเทศมีจุดยืนต่างออกไปในแต่ละเรื่อง
“ความยากของไทยคือการจะดูว่าประเทศไหนอยู่ฝั่งไหน ต้องดูเฉพาะในแต่ละเรื่องว่าประเทศไหนมีจุดยืนทางไหนในเรื่องไหน แล้วประเมินผลกระทบและตัดสินใจว่าจุดยืนของไทยในแต่ละเรื่องจะไปทางไหน”
ดร.สุรเกียรติ์ชี้ว่า ความขัดแย้งต่าง ๆ ซับซ้อนขึ้น เช่น ปัญหาในเมียนมาที่ซับซ้อนขึ้น เพราะแต่ละฝั่งมีผู้สนับสนุนเป็นมหาอำนาจ แต่ประเทศไทยไม่ค่อยมองผ่านเลนส์ใหม่ ไทยยังมองผ่านเลนส์เดิม ว่าไม่ว่าอย่างไรรัฐบาลทหารก็ชนะ แต่ในความเป็นจริง รัฐบาลทหารไม่ชนะแต่ก็ไม่แพ้ ขณะที่กลุ่มต่าง ๆ เข้มแข็งขึ้น เพราะมีการสนับสนุนจากมหาอำนาจ ปัญหาในเมียนมาจึงไม่ใช่แค่ปัญหาภายในประเทศ
ประเทศไทยมีพรมแดนติดเมียนมา 2,400 กิโลเมตร การที่ไทยพยายามจะแก้ปัญหา บางเรื่องพูดกับรัฐบาลทหารเมียนมาได้ แต่บางเรื่องต้องไปพูดกับคนอื่น
อันตรายของไทยคือ ไทยยังนั่งท่องฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน ซึ่งผ่านมา 3 ปีแล้วยังไม่สามารถบรรลุได้สักข้อ
สิ่งที่ไทยและอาเซียนจำเป็นต้องทำ คือ คุยกับผู้มีอำนาจจากภายนอกที่เข้ามาหนุนฝ่ายต่าง ๆ
ไทยต้องมีจุดยืนที่ถูกต้อง :
“ไม่ว่าใครชนะโลกก็ปั่นป่วนต่อไป” ดร.สุรเกียรติ์ย้ำอีกครั้ง และแนะว่าต้องกวาดสัญญาณอนาคตให้ดี ๆ เพราะปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ดูเหมือนอยู่ไกลและไทยไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งนั้นส่งผลกระทบต่อไทยทั้งหมด เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน สงครามตะวันออกกลาง ที่ส่งผลต่อราคาพลังงาน และส่งผลต่อราคาสินค้าส่งออก-นำเข้า
ดร.สุรเกียรติ์ย้ำว่า ไทยต้องประเมินดี ๆ และมีจุดยืนที่ถูกต้อง บทบาทที่พึงประสงค์ของไทย คือ “ต้องทันโลก” ในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมและเศรษฐกิจทางเลือกที่เกิดใหม่
ด้านการเมือง ต้องดูว่าผลประโยชน์ของการขัดแย้งในแต่ละเรื่องคืออะไร ประเทศไหนหนุนฝ่ายไหนในเรื่องนั้น ๆ
ด้านสังคมก็ต้องตามให้ทันเช่นกัน เช่น เรื่องความยั่งยืน เรื่องสิทธิมนุษยชน เรื่องประชาธิปไตย
ไทยต้องวางจุดยืนของประเทศให้ถูกและเป็นจุดยืนที่ปลอดภัย ต้องมีบทบาทในการเป็นผู้หาทางออกจากความขัดแย้ง เป็นผู้ผลักดันการแก้ปัญหาในเรื่องที่ไทยมีพลังพอจะทำได้ อย่างเรื่องเมียนมา เรื่องทะเลจีนใต้ เป็นต้น
“ในเรื่องความขัดแย้งของมหาอำนาจ จุดยืนของไทยคือไม่เป็นคู่ขัดแย้ง แต่จะทำอย่างไรให้ผลเสียไม่มาถึงไทย ในความขัดแย้งบางเรื่องเรามีความสามารถเป็นสะพานเชื่อมได้ แต่อย่าไปเชื่อมในเรื่องที่เราไม่มีพลัง เช่น เรื่องรัสเซีย-ยูเครน เรื่องปัญหาตะวันออกกลาง เราไม่มีพลังที่จะไปเชื่อม แต่เราเชื่อมคู่ขัดแย้งที่เราพอมีพลังคือเรื่องเมียนมา เรื่องความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ประเทศไทยต้องเดินเป็นตัวเอก”
ในช่วงท้าย ดร.สุรเกียรติ์สรุปเหมือนที่เปิดปาฐกถาว่า ไม่ว่าใครจะชนะโลกจะยังคงป่วนต่อไป แต่จะป่วนแบบคาดการณ์ได้ หรือคาดการณ์ไม่ได้
“ไทยต้องทำ Future Foresight หรือกวาดสัญญาณอนาคตให้ดี ๆ และต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 19 ตุลาคม 2567