กกร.คงเป้าจีดีพีปี 65 โต 2.75-3.5% วอนขึ้นค่าไฟขั้นบันได
กกร.คงเป้าคาดการณ์จีดีพีปี 65 อยู่ที่ 2.75-3.5% วอนรัฐปรับขึ้นค่าไฟเป็นขั้นบันได ขึ้นค่าแรงแบบค่อยเป็นค่อยไป ช่วยเอกชนลดต้นทุน ห่วงเศรษฐกิจยุโรปเข้าสู่ภาวะถดถอยครึ่งปีหลัง บวกแรงกดดันเงินเฟ้อของหลายประเทศยังสูง
วันที่ 7 กันยายน 2565 นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยภายหลังการประชุม กกร.ว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกเผชิญความเสี่ยงที่จะชะลอตัวกว่าที่คาด วัดได้จากประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในประเทศสำคัญ อาทิ สหรัฐ ยุโรป และจีน ถูกปรับลดลง โดยที่เศรษฐกิจยุโรปได้เข้าสู่ภาวะถดถอยในครึ่งปีหลัง ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อของหลายประเทศต่างอยู่ในระดับสูง เป็นภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและเงินเฟ้อ (stagflation)
นอกจากนี้ ความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์มีเพิ่มขึ้น จากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ล่าสุดเป็นการระงับส่งก๊าซชั่วคราวของรัสเซีย ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อวิกฤตพลังงานในยุโรป ปัญหาด้านซัพพลายเชนในประเทศจีน จากการขาดแคลนพลังงานที่มีเหตุจากภัยแล้ง รวมถึงการล็อกดาวน์ที่ทำให้มีผลลบต่อภาคการผลิต ปัจจัยเหล่านี้เพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งต้องติดตามเพื่อประเมินผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กกร.ประเมินเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้จากการเปิดประเทศ และการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศที่ตามมา แต่จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ตลาดต่างประเทศที่ชะลอตัวอย่างใกล้ชิดขึ้น
โดยที่ประชุม กกร.คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 ซึ่งจะขยายตัวได้ในกรอบ 2.75-3.5% ขณะที่มูลค่าการส่งออกคาดว่ายังขยายตัวได้ในกรอบ 6-8% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในกรอบ 5.5-7%
ทั้งนี้ กกร.มีความกังวลในเรื่องต้นทุนของภาคธุรกิจ ที่จะเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า 3 ข้อ
(1)การปรับขึ้นค่าไฟฟ้าจาก 4 บาท เป็น 4.72 บาท/หน่วย ที่จะมีผลบังคับใช้ในรอบเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 จะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนและต้นทุนการประกอบการ โดยภาคอุตสาหกรรมมีต้นทุนค่าไฟฟ้าเฉลี่ย 20-30% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด และในส่วนของภาคบริการ เช่น ธุรกิจโรงแรม มีต้นทุนค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเกือบ 30% ของต้นทุนทั้งหมด
(2)การปรับขึ้นค่าธรรมเนียม FIDF ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 ที่จะส่งผ่านไปยังอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้สูงขึ้น ภายใต้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
(3)ต้นทุนด้านแรงงาน จากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่มีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ตั้งแต่ 8-22 บาทต่อวัน ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565 และรวมถึงการขาดแคลนแรงงานที่เป็นปัญหาสำคัญของภาคธุรกิจ
โดยต้นทุนที่สูงขึ้นข้างต้น จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจที่ยังมีความเปราะบาง ที่ประชุม กกร.จึงขอเสนอให้ภาครัฐพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบในการปรับขึ้นปัจจัยต้นทุนที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบการอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“ห่วงการปรับขึ้นค่าไฟฟ้ามากสุด ขอให้ทยอยการปรับขึ้นอัตราค่าไฟฟ้าออกเป็น 2 ระยะ แทนการปรับขึ้นครั้งเดียว เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการจากวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งควรรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนการประกอบการ”
สำหรับเรื่องการปฏิรูปกฎหมาย มีกฎหมายใหม่ 2 ฉบับที่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ซึ่งเป็นกฎหมายที่ช่วยส่งเสริมการดำเนินธุรกิจ ได้แก่
(1)พระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่กำหนดให้ประชาชนสามารถติดต่อ และยื่นเอกสาร / คำร้องต่าง ๆ ทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของภาครัฐ
(2)พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ที่เปลี่ยนความผิด ที่เป็นคดีอาญาให้ไม่เป็นความผิดทางอาญาอีกต่อไป ทำให้ประชาชนที่ทำความผิดเล็กน้อย ยังถูกลงโทษปรับ แต่ไม่นับเป็นคดีอาญา และไม่มีประวัติอาชญากรรม
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการให้แก้ไขพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของราชการ พ.ศ. 2558 ที่เสนอโดยคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ที่จะปรับปรุงการขออนุญาตต่างๆ
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 7 กันยายน 2565