วิเคราะห์จากโพล หญิงเลือกแฮร์ริส ชายเลือกทรัมป์ สองเพศแบ่งแยกครั้งประวัติศาสตร์
"กลุ่มสุดโต่งฝ่ายสตรีนิยมและเสรีนิยมสุดขั้วบอกฝ่ายผู้ชายว่า พวกเขาไม่จำเป็นและผู้หญิงจำนวนมากก็เชื่อ ความก้าวหน้าสมัยใหม่เผยให้เห็นคำถามสมัยใหม่ : ทำไมต้องออกเดตกับผู้ชาย ในเมื่อสามารถหาเงินและมีลูกได้เอง" ส่วนหนึ่งในบทความของยูเอสเอ ทูเดย์
ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจมองว่า ข้อความนี้สะท้อนข้อเท็จจริงและโดยเฉพาะอย่างยิ่งถูกสองแคนดิเดตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐหยิบฉวยมาใช้ในการหาเสียง
หลายโพลแสดงให้เห็นว่าความแตกต่างระหว่างเพศชายและหญิงถ่างกว้างมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ของสหรัฐ เมื่อต้องเลือกผู้นำในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้
“ระหว่างแรงผลักดันต่อนโยบายทำแท้งของแฮร์ริสและจำนวนผู้ชายที่จะลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะชายหนุ่ม โพลคาดการณ์ว่า การเลือกตั้งปี 2024 จะสร้างช่องว่างให้ถ่างกว้างใหญ่ที่สุดระหว่างผู้ลงคะแนนเสียงสองเพศ ในประวัติศาสตร์การเมืองยุคใหม่” “โพลิติโก (Politico)” สื่อด้านการเมืองของสหรัฐระบุ
โพลล่าสุดจากยูเอสเอ ทูเดย์/ มหาวิทยาลัยซัฟโฟล์ก แสดงว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากรีพับลิกันมีคะแนนนำในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพศชาย 53% ต่อ 37% ขณะที่รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส จากเดโมแครตมีคะแนนนำในหมู่ผู้หญิง 53% ต่อ 36% ทั้งนี้ โพลดังกล่าวทำการสำรวจระหว่างวันที่ 14-18 ตุลาคม และมีค่าความคลาดเคลื่อนบวกและลบที่ 3.1 เปอร์เซ็นต์
นิโคล รัสเซลล์ (Nicole Russell) คอลัมนิสต์จากยูเอสเอทูเดย์ (USA Today) มองว่า นโยบายทำแท้งเสรี ดึงดูดเสียงโหวตจากผู้หญิงได้จำนวนมาก โดยเฉพาะหญิงวัยเยาว์ ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากโพล เดอะนิวยอร์กไทมส์/เซียนา คอลเลจที่ทำการสำรวจในปี 2024 ระบุว่า แฮร์ริสมีคะแนนนำในหมู่ผู้หญิงรุ่นเยาว์ 39% (67% ต่อ 28%) ในขณะที่ทรัมป์มีคะแนนนำในหมู่คนหนุ่ม 21% (58% ต่อ 37%)
แฮร์ริสยังคงหาเสียงพุ่งเป้าที่ผู้หญิงเป็นพิเศษ ขณะเดียวกันพยายามค้ำยันจุดอ่อนไม่ให้ยิ่งอ่อนยวบลงไปอีกกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพศชาย ในทางตรงกันข้าม ทรัมป์ ซึ่งทำให้ผู้ชายออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นจำนวนมากในปี 2016 ได้คะแนนนำโด่งในกลุ่มผู้ชายโดยรวมและกำลังทำคะแนนได้ดีครั้งประวัติการณ์ในกลุ่มหนุ่มเจน ซี (Gen Z)
จากการเลือกออกรายการพอดแคสต์ คอลเฮอร์แดดดี้ (Call Her Daddy) ไปจนถึง เดอะ วิว (The View) รายการโชว์เหล่านี้มีจุดร่วมเหมือนกันกล่าวคือ โฮสต์หรือผู้ดำเนินรายการหลักล้วนเป็นผู้หญิง ดูเหมือนว่าแฮร์ริสต้องการส่งสารว่าการหาเสียงของเธอทำมาเพื่อผู้หญิงเท่านั้น
ในอีกด้านหนึ่ง ทรัมป์กำลังทำในสิ่งเดียวกันกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพศชาย ทรัมป์ดึงดูดโหวตเตอร์ชายหนุ่ม เพราะทรัมป์เป็นตัวแทนของศักยภาพต่าง ๆ ได้แก่ ความร่ำรวย ความมีชื่อเสียงและครอบครัวที่ภักดี
แม้ว่าความจริงนั้นมีทั้งดีและไม่ดี แต่ภาพลักษณ์ของทรัมป์ในฐานะมหาเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จนั้นยังคงมีอยู่ ทรัมป์เป็นคนที่ชูหมัดขึ้นและตะโกนว่า “สู้ ๆ!” เลือดไหลนองหน้าหลังจากความพยายามลอบสังหาร เขายังเป็นผู้ชายที่สวมผ้ากันเปื้อนแมคโดนัลด์และเสิร์ฟเฟรนช์ฟรายเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งนี้ เขาก็เป็นมหาเศรษฐีที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับชนชั้นแรงงาน เป็นพวกเกลียดผู้หญิงที่ให้ความสำคัญกับครอบครัว เป็นพวกอนุรักษนิยมที่ต้องการเก็บภาษีนำเข้า
คุณสมบัติที่ดูเหมือนตรงข้ามกันนี้ดึงดูดผู้ชาย โดยภายในผู้ชายทุกคน (รวมถึงผู้หญิงทุกคนด้วยนั้น) มีทั้งคนบาปและนักบุญอยู่ในตัว ดังที่วิลเลียม บาร์เคลย์ (William Barclay) นักเทววิทยาชาวสกอตเขียนไว้ว่า “มนุษย์ทุกคนเปรียบเสมือนสงครามกลางเมืองที่เคลื่อนไหวได้ ในตัวมนุษย์มีทั้งความตึงเครียด ความแตกแยก การต่อสู้ระหว่างสิ่งที่ถูกต้องและผิด ระหว่างความดีและความชั่ว ระหว่างกิเลสตัณหาและเหตุผล ระหว่างสัญชาตญาณและความตั้งใจ” ซึ่งดูเหมือนทรัมป์จะเอาชนะการต่อสู้นั้นได้และครองใจคนหนุ่ม
ทรัมป์กำลังส่งสารไปยังคนหนุ่ม ซึ่งเป็นสารตรงข้ามกับแคมเปญหาเสียงของแฮร์ริส โดยทรัมป์ส่งสารว่า คนหนุ่มยังเป็นที่ต้องการและมีคุณค่า สารอันนี้เป็นข้อมูลที่ไม่ธรรมดาสำหรับชายรุ่นหนึ่งกันเลย ซึ่งถูกเฟมินิสต์หรือนักสตรีนิยมสุดโต่งและอื่น ๆ บอกว่าในกรณีดีที่สุด ผู้ชายนั้นไม่จำเป็นและผู้ชายคือนักล่า ในกรณีเลวร้ายที่สุด
นอกจากช่องว่างทางการเมืองระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาว คนสองกลุ่มยังมักไม่สร้างความสัมพันธ์แบบโรแมนติกอีกด้วย จะเห็นได้จากอัตราการแต่งงานในสหรัฐกำลังลดลง และอัตราการเกิดก็ลดลงเช่นกัน
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 28 ตุลาคม 2567