จีนส่งสัญญาณพร้อมเจรจาสหรัฐฯ หวังปลดล็อกความตึงเครียดสงครามการค้า
จีนประกาศพร้อมเปิดเวทีพูดคุยกับสหรัฐฯ เพื่อผลักดันความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจภายใต้หลักการเคารพซึ่งกันและกัน
จีนแสดงความพร้อมที่จะเปิดการเจรจาเชิงรุกกับสหรัฐฯ เพื่อผลักดันความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าให้ก้าวหน้า โดยรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หวัง โส่วเหวิน ระบุในการแถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ว่า ความร่วมมือที่มั่นคงและยั่งยืนคือเป้าหมายสำคัญของทั้งสองประเทศ แม้เผชิญกับแรงกดดันจากมาตรการภาษีที่อาจเกิดขึ้นภายใต้การบริหารของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ผู้แทนการค้าระหว่างประเทศของจีน ยืนยันว่า จีนสามารถ “จัดการและต้านทานผลกระทบจากแรงกดดันภายนอก” พร้อมเน้นย้ำความจำเป็นในการขยายความร่วมมือและบริหารจัดการความแตกต่างกับสหรัฐฯ
“เรามั่นใจว่าจีนและสหรัฐฯ สามารถรักษาทิศทางการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการค้าที่มั่นคงและยั่งยืนได้” หวังกล่าว พร้อมเสริมว่าการเจรจาบนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกันคือทางออก
การขู่เก็บภาษีเกินกว่า 60% ต่อสินค้าจีนของ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างความกังวลให้แก่ผู้ส่งออกจีน โดยหลายโรงงานเริ่มพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคอื่น
นักเศรษฐศาสตร์จากรอยเตอร์สคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ อาจเก็บภาษีที่ระดับ 40% ในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีนลดลงถึง 1%
เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนนี้ ทางการจีนได้ออกมาตรการส่งเสริมการค้าต่างประเทศ โดยให้คำมั่นที่จะเพิ่มการสนับสนุนด้านการเงินแก่บริษัทและขยายการส่งออกสินค้าเกษตร
เงินหยวนกับความผันผวนในยุคทรัมป์ :
การตั้งกำแพงภาษีในสมัยแรกของทรัมป์ส่งผลกระทบต่อค่าเงินหยวนอย่างหนัก โดยหยวนแข็งค่าขึ้นถึง 10% ในช่วง 18 เดือนแรก ก่อนจะอ่อนค่าลง 12% หลังการตั้งภาษีและการระบาดของโควิด-19
ธนาคารกลางจีน ย้ำว่า ธนาคารกลางจะยังคงรักษาค่าเงินหยวนให้อยู่ในระดับที่ “เหมาะสมและสมดุล” พร้อมสร้างความยืดหยุ่นในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราเพื่อป้องกันความผันผวนเกินควร
ขณะเดียวกัน บริษัทจีนเริ่มเตรียมความพร้อมรับความเสี่ยงทางการเงินด้วยการสะสมเงินดอลลาร์ เปลี่ยนสัญญาเป็นเงินหยวน และเปิดช่องทางนำเข้าสินค้าเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงจากค่าเงิน
การประกาศครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงท่าทีของจีนที่ต้องการหลีกเลี่ยงความตึงเครียดทางการค้าและเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตลาดโลก แต่ในขณะเดียวกันยังคงแสดงความพร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายที่จะเกิดขึ้นภายใต้การบริหารของทรัมป์
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567