"การท่องเที่ยว" เครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ที่เวียดนามเร่งดันแข่งเพื่อนบ้าน
ตลอดปี 2024 ภาคการท่องเที่ยวกลายเป็นจุดเด่นในภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของเวียดนาม ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ที่เติบโตตามเป้า จนกลายเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งในระดับท้องถิ่นและทั่วประเทศ
เวียดนามเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจดีมากในปี 2024 และดีที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน โดยมีจีดีพีโตถึง 7.09% มากกว่าอินโดนีเซียที่องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) คาดการณ์ว่าจะโต 5.1% ตามมาด้วยมาเลเซียที่ธนาคารโลก (World Bank) คาดการณ์ว่าจะโต 4.9% และสิงคโปร์ที่โต 4% ส่วนไทย สภาพัฒน์คาดว่าจะโตเพียง 2.6%
ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (General Statistics Office) มูลค่าจีดีพีในปี 2024 อยู่ที่ 476,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 16,537,136 ล้านบาท) จีดีพีต่อหัว 4,700 ดอลลาร์ (ราว 163,146 บาท) ขับเคลื่อนโดยภาคบริการ คิดเป็น 49.46% ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ภาคอุตสาหกรรมและการผลิต คิดเป็น 45.17% ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่วนภาคการเกษตร ป่าไม้และประมงคิดเป็น 5.37% ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ
จะเห็นได้ว่าภาคบริการมีส่วนสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเวียดนาม ซึ่งวีน่าแคปิตัล (VinaCapital) บริษัทหลักทรัพย์ในเวียดนามประเมินว่า ภาคการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวมีส่วนช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามทั้งทางตรงและทางอ้อมมากถึง 16% ในปี 2024 โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติถือเป็นครึ่งหนึ่งของแรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเท่ากับว่านักท่องเที่ยวต่างชาติมีส่วน 8% ในการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนาม
ตามข้อมูลบนเว็บไซต์ของทางการเวียดนาม ในปี 2024 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติไปเยือนเวียดนาม 17.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 39.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี (YOY) บรรลุเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ และรัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าปี 2025 ใหม่เพิ่มเป็น 22-23 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 31% (YOY) และมากกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19
สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม (Vietnam National Administration of Tourism : VNAT) คาดว่า เมื่อรวมกับนักท่องเที่ยวในประเทศอีก 120-130 ล้านคน ในปี 2025 ภาคการท่องเที่ยวจะสร้างรายได้มากถึง 980-1,050 ล้านล้านดอง (ราว 1.3-1.43 ล้านล้านบาท) คิดเป็น 6-8% ของจีดีพี และสร้างงานได้ 5.5 ล้านตำแหน่ง เป็นการจ้างงานโดยตรง 1.8 ล้านตำแหน่ง
เกือบ 80% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไปเที่ยวเวียดนามเป็นนักท่องเที่ยวจากทวีปเอเชีย ตามมาด้วยยุโรป 11.3% อเมริกา 5.7% และแอฟริกา 0.3% นักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 อันดับแรก ได้แก่ เกาหลีใต้ 4.5 ล้านคน คิดเป็น 25.98% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด รองลงมาเป็นจีน 3.7 ล้านคน คิดเป็น 21.26% ตามด้วยไต้หวัน สหรัฐ ญี่ปุ่น อินเดีย มาเลเซีย ออสเตรเลีย กัมพูชา และไทย
อย่างไรก็ตาม เวียดนามรู้ตัวดีว่ายังต้องเสริมบริการให้หลากหลายกว่านี้ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ไทย สิงคโปร์ และจีนได้ ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไปเที่ยวเวียดนามนิยมไปเที่ยวชมสถานที่เชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม แวะร้านอาหารท้องถิ่น และดื่มกาแฟแบบคนในพื้นที่ แต่เวียดนามยังขาดบริการสันทนาการที่หลากหลายเพียงพอ ทั้งยังขาดแหล่งช็อปปิ้งที่จะช่วยดึงการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น
เวียดนามพยายามผลักดันให้นักท่องเที่ยวต่างชาติใช้เวลาพำนักและจับจ่ายมากขึ้น ที่ผ่านมาเวียดนามดำเนินการออกวีซ่าออนไลน์ (e-Visa) แก่ชาวต่างชาติทั้งหมด และขยายระยะเวลาการพำนักชั่วคราวจาก 30 วัน เป็น 90 วัน โดยไม่จำกัดจำนวนครั้งการเดินทางเข้า-ออก ให้แก่ 13 ประเทศที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าเพียงฝ่ายเดียว แต่หลายฝ่ายก็ยังมองว่าเท่านี้ยังไม่เพียงพอ
ฮหว่าง เญิน จิ๋งห์ (Hoàng Nhàn Chành) ประธานสำนักงานเลขาธิการกรรมการที่ปรึกษาด้านการท่องเที่ยว (Tourism Advisory Board) กล่าวว่า เวียดนามจำเป็นต้องมีแผนการทุกระยะ ทั้งสั้น กลาง และยาว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น โดยแผนการระยะสั้น ได้แก่ การผ่อนปรนเงื่อนไขวีซ่า จัดโปรโมชั่นเที่ยวบินและที่พักราคาถูกเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ในระยะกลาง ภาคธุรกิจต้องจัดการสถานที่ท่องเที่ยวให้มีคุณภาพเหมาะสม สุดท้ายในระยะยาว ต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งมวลชน พัฒนาทักษะแรงงานทักษะสูงให้เพียงพอ เพื่อรองรับอุปสงค์ภาคการท่องเที่ยว
เมื่อพิจารณาแผนการเหล่านี้ หากเวียดนามสามารถดำเนินการได้ตามแผนทั้งหมด คาดได้ว่าภาคการท่องเที่ยวของเวียดนามจะเป็นภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจต่อไปอีกนาน
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 17 มกราคม 2568