"คลัง" ชี้ 4 ปัจจัยดัน GDP ปี 68โตเกิน 3% ลุ้นท่องเที่ยว - ลงทุนโครงการใหญ่หนุน
"คลัง" หวัง GDP ปี 68 โตเกิน 3% ชู 4 ปัจจัยบวก หวังโครงการลงทุนขนาดใหญ่หลังคำขอลงทุนพุ่ง คาดนักท่องเที่ยวปี 68 แตะ 38.5 ล้านคน เฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงหลังทรัมป์รับตำแหน่งอีกสมัย
วันนี้ (30 ม.ค.) ที่กระทรวงการคลัง นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 โดยในปี 2568 กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเร่งขึ้นที่ 3% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.5%–3.5%) โดยมี 4 ปัจจัยบวกหลัก ได้แก่
(1)การบริโภคภาคเอกชน โดยการบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 3.3% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.8% - 3.8%) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและรายได้เกษตรกรที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง
(2)มูลค่าการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัว 4.4% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 3.9% - 4.9%) สอดคล้องกับความต้องการสินค้าของตลาดโลกและเศรษฐกิจคู่ค้าที่ปรับตัวดีขึ้น
(3)ภาคการท่องเที่ยวคาดว่าจะยังขยายตัวต่อเนื่องด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 38.5 ล้านคน ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนรายได้จากการท่องเที่ยวและส่งเสริมภาคบริการและภาคการผลิตที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศไทยได้กว่า 1.83 ล้านล้านบาท
(4)การลงทุนในปี 2568 จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์สำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทย โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจาก 2 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
4.1)การลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.7% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.2% - 3.2%) จากการเร่งดำเนินโครงการขนาดใหญ่ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนโดยบีโอไอ ซึ่งมีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงกว่า 1.14 ล้านล้านบาทในปี 2567 สูงสุดในรอบ 10 ปี และมีโครงการยื่นขอส่งเสริมกว่า 3,100 โครงการ ซึ่งคาดว่าจะทยอยลงทุนจริงภายใน 1–4 ปี หลังการอนุมัติ
4.2)การลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.4% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.9% - 3.9%) จากความต่อเนื่องในการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนและการเร่งรัดโครงการสำคัญเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และกระตุ้นการลงทุนต่อเนื่องในภาคเอกชน นอกจากนี้ แรงหนุนจากเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ยังส่งผลให้การบริโภคภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 1.3% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 0.8%- 1.8%)
ส่วนด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 0.9% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 0.4% - 1.4%) เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัวดี ขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 13.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.4% ของ GDP (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.9% - 2.9% ของ GDP) สะท้อนถึงศักยภาพที่เข้มแข็งของภาคต่างประเทศ และการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีโอกาสขยายตัวได้สูงกว่า 3.0% หากภาวะเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศเอื้ออำนวยรวมถึงมีการเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินของนโยบายต่าง ๆ อย่างเต็มที่ ดังนี้
1)การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2568 ทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายโดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน
2)การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายของประชาชนผู้ได้รับสิทธิภายใต้โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต (ระยะที่ 3) เพื่อทำให้เม็ดเงินทั้งหมดถูกใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่และทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากที่สุด
3)การเร่งรัดการลงทุนในโครงการบ้านเพื่อคนไทยเพื่อให้เกิดการลงทุนตามแผนงาน
4)การกระตุ้นการท่องเที่ยวในภาพรวมและช่วงปลายปีที่ประเทศไทยจะได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33
5)การเร่งรัดโครงการการลงทุนของภาคเอกชนหลังได้รับการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนแล้ว โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Data Center และ Cloud Region เพื่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนจริงสู่ระบบเศรษฐกิจและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศไทย
ซึ่งหากสามารถผลักดันแนวทางการเร่งรัดได้เต็มศักยภาพแล้ว คาดว่าจะเพิ่มอัตราการขยายตัวได้อีก 0.5% ทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ถึง 3.5% ตามกรอบบนของช่วงคาดการณ์
"กระทรวงการคลังจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตที่เข้มแข็ง (Resilient Growth) ของประเทศไทยในปี 2568 โดยใช้เครื่องมือทางการคลังอย่างเต็มศักยภาพเพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการเงินในระดับครัวเรือนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเดินหน้าผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจการเงิน (Financial Hub) เพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีเศรษฐกิจโลก"
อย่างไรก็ตาม ยังควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิดได้แก่
1)แนวทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ กลับขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย รวมทั้งการตอบโต้ของประเทศต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบ
2)การนำเข้าสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้นกับผลกระทบต่อภาคการผลิตของอุตสาหกรรมไทย
3)ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทย
4)ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในหลายภูมิภาคที่อาจสร้างความผันผวนและจำกัดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย
5)ปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจของไทย ซึ่งอาจกระทบกำลังซื้อและการใช้จ่ายในระยะต่อไป
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 30 มกราคม 2568