บริษัทสหรัฐในเวียดนามจ่อ "เลย์ออฟ" อื้อ หากเจอภาษีทรัมป์
AmCham เผยบริษัทอเมริกันในเวียดนามส่วนใหญ่ อาจต้องเลิกจ้างพนักงานเซฟค่าใช้จ่าย หากต้องเผชิญการขึ้นภาษีศุลกากรของทรัมป์ เตรียมหาตลาดใหม่กระจายความเสี่ยง
หอการค้าอเมริกัน (AmCham) ในเวียดนาม เปิดเผยผลสำรวจบริษัทอเมริกันกว่า 100 แห่งในวันนี้ (20 ก.พ.68) ว่า บริษัทส่วนใหญ่อาจจำเป็นต้อง "เลิกจ้างพนักงาน" หากรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อเวียดนาม โดยหอการค้าอเมริกัน ระบุว่า "ในบรรดาบริษัทผู้ผลิตทั้งหมด เกือบสองในสามคาดว่าจะมีการเลิกจ้าง"
การสำรวจดังกล่าวจัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 4-11 ก.พ.68 เป็นการสำรวจบริษัทกว่าร้อยแห่งซึ่งรวมถึงบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เช่น อินเทล และไนกี้ ในช่วงที่ทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก และอะลูมิเนียม 25% ไปแล้ว และได้ประกาศล่วงหน้าถึงการเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้กับทุกประเทศ รวมถึงภาษีนำเข้ารถยนต์ ยา และเซมิคอนดักเตอร์
ทั้งนี้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเวียดนามได้ประโยชน์จากการลงทุนครั้งใหญ่ของบริษัทที่ย้ายฐานการผลิตออกจาก "จีน" หลังจากที่ทรัมป์กำหนดภาษีศุลกากรกับปักกิ่งในปี 2561 ในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีวาระแรก
ข้อมูลของรัฐบาลเวียดนามที่อัปเดตเมื่อสิ้นเดือนม.ค. พบว่า มากกว่า 60% ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ในเวียดนามนั้น อยู่ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต
จากการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมกว่า 12 รายพบว่า นักลงทุนต่างชาติที่ดำเนินกิจกรรมการผลิตในเวียดนามส่วนใหญ่ยังคงมองในแง่ดี หลังจากที่ทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากับจีน เม็กซิโก และแคนาดา หลังการรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง แต่บรรยากาศที่มองบวกเริ่มเปลี่ยนไปบางส่วน หลังจากที่ทรัมป์เปรยถึงมาตรการภาษีใหม่ๆ ตามมาอีก
"ทุกคนต่างก็คาดกันไว้แล้วว่าจะมีปัญหาแน่ แต่พูดตรงๆ ก็คือ เราคิดไม่ถึงว่าจะออกมาเป็นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ ซึ่งเป็นมาตรการที่แปลกมาก" ที่ปรึกษาการลงทุนรายหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์ยาวนานในเวียดนามกล่าว
นักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่า เวียดนามอาจกลายเป็นเป้าหมายของภาษีศุลกากรใหม่ เนื่องจากมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ของสหรัฐ และอาจได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมาตรการเก็บภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ที่ทรัมป์เพิ่งเปรยออกมาด้วย เนื่องจากเวียดนามเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกชิปรายใหญ่ไปยังสหรัฐ
ผลสำรวจโดยแผนกธุรกิจของ AmCham ในเมืองโฮจิมินห์ซิตี้ และดานัง ยังพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 81% แสดงความกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากรที่อาจเกิดขึ้น โดยในจำนวนนี้ 92% มาจากกลุ่มผู้ผลิต
"ธุรกิจจำนวนมากกลัวว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากรอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน และบังคับให้ต้องพิจารณาการดำเนินการใหม่" โดยผู้ผลิต 94% คาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบ และมี 41% ที่กำลังพิจารณาหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงจากตลาดสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดสำหรับเวียดนามในขณะนี้
"การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจทำให้บริษัทต่างๆ เปลี่ยนเส้นทางการส่งออกไปยังตลาดอื่นหรือปรับห่วงโซ่อุปทานเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐ" หอการค้าอเมริกันระบุ
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568