จีนเปิดฉากประชุมสองสภาปี 68 วางแผนเศรษฐกิจ ฝ่ายุคทรัมป์ 2.0
ประชุมสองสภาของจีนปี 2025 เปิดแผนเศรษฐกิจ การเติบโต GDP นโยบายการเงิน และแนวทางรับมือปัญหาอสังหาริมทรัพย์ พร้อมยุทธศาสตร์เพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีและการบริโภค
การประชุมสองสภาประจำปีของจีน ถือเป็นเวทีนโยบายที่สำคัญที่สุดของประเทศ ได้เริ่มต้นขึ้นในต้นเดือนมี.ค. 2568 โดยที่ประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ (NPC) ซึ่งเป็นสภานิติบัญญัติระดับสูงสุด และคณะกรรมการแห่งชาติประจำสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งประชาชนจีน และคณะกรรมการแห่งชาติประจำสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งประชาชนจีน (CPPCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ปรึกษาทางการเมืองระดับสูงสุดของจีน
ทั้งสองสภามีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี และจัดการประชุมเต็มคณะทุกปี โดยสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ ชุดที่ 14 มีสมาชิกเกือบ 3,000 คน ส่วนคณะกรรมการแห่งชาติประจำสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งประชาชนจีนมีสมาชิกมากกว่า 2,000 คนจะกำหนดเป้าหมายเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายของประเทศในปีนี้
โดยปีนี้ การประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติเริ่มต้นวันที่ 5 มี.ค. ส่วนการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติประจำสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งประชาชนจีนเริ่มต้นวันที่ 4 มี.ค.
ปีนี้จีนต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งในและต่างประเทศ ตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ปัญหาเงินฝืด อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา ไปจนถึงความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ ทำให้ที่ประชุมสองสภาถูกจับตามองว่าจะมีแนวทางรับมืออย่างไร
ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญของการประชุมสองสภา ได้แก่ เป้าหมายการเติบโตประจำปีของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งจะมีการเผยแพร่ตัวเลขผ่านรายงานการปฏิบัติงานของรัฐบาล ณ การเปิดประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ รวมถึงตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญอื่นๆ เช่น อัตราส่วนการขาดดุลต่อจีดีพีและเป้าหมายเงินเฟ้อ และพันธกิจการพัฒนาของทั้งปี
การประชุมสองสภายังจะตรวจสอบทบทวนแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระดับชาติของปี 2568 รวมถึงงบประมาณรัฐบาล ซึ่งจะฉายภาพอันชัดเจนของการจัดลำดับความสำคัญทางนโยบาย เป้าหมายการพัฒนาต่างๆ และยุทธศาสตร์ทางการคลังของจีน
นอกจากนั้นการประชุมประจำปีของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจะออกหรือแก้ไขกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ได้แก่ รัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายแพ่ง กฎหมายกำกับดูแล และกฎหมายการลงทุนจากต่างประเทศ
เป้าหมาย GDP ปี 68 รักษา 5% แม้แรงกดดันสูง :
จุดสำคัญของการประชุมคือเป้าหมายการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ได้แถลงการณ์ในรายงานการปฏิบัติงานของรัฐบาล โดยคาดว่าจีนจะตั้งเป้าการเติบโตที่ "ประมาณ 5%" เพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก UBS มองว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย เนื่องจากเศรษฐกิจจีนยังเผชิญอุปสรรคจากหลายด้าน และคาดว่าการเติบโตจริงอาจอยู่ที่ ประมาณ 4%
นโยบายเงินเฟ้อ ลดเป้าหมายลงสู่ 2% ครั้งแรกในรอบ 20 ปี :
จีนอาจลดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อลงเหลือ ประมาณ 2% ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2547 เพื่อตอบรับแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดที่ฉุดให้ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) แทบไม่ขยับขึ้นมานานหลายเดือน
นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ระบุว่า การที่ 27 มณฑลของจีนลดเป้าหมายเงินเฟ้อจาก 3% เหลือ 2% อาจเป็นสัญญาณว่า รัฐบาลกลางจะประกาศเป้าหมายที่สอดคล้องกัน
นโยบายการคลัง ปรับดุลขาดดุลเพิ่มสู่ 4% แต่เลี่ยงมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ :
ที่ประชุมคาดว่าจะประกาศ สัดส่วนขาดดุลงบประมาณที่ 4% ของ GDP ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยเดิมที่ 3% เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐาน
Goldman Sachs คาดการณ์ว่าจีนจะออกพันธบัตรรัฐบาลรวมมูลค่า 13 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4 ล้านล้านหยวน โดยในจำนวนนี้อาจรวมถึง พันธบัตรพิเศษระยะยาว 2 ล้านล้านหยวน เพื่อรองรับการลงทุนภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม Macquarie Capital เตือนว่า จีนอาจยังไม่เดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในตอนนี้ เพราะต้องการดูผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่ก่อน
การกระตุ้นการบริโภค เพิ่มเงินบำนาญ-เร่งนโยบายสินค้ารีไซเคิล :
หนึ่งในวาระสำคัญคือการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งคาดว่าจีนจะออกมาตรการต่างๆ เช่น ขยายโครงการแลกเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าเป็นสินค้าใหม่ เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายของประชาชน
เพิ่มเงินบำนาญสำหรับผู้เกษียณ และขยายเงินอุดหนุนประกันสังคม
สนับสนุนการเติบโตของภาคบริการและอีคอมเมิร์ซ
นักวิเคราะห์จาก UBS มองว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยเสริมความเชื่อมั่นของประชาชน และกระตุ้นการใช้จ่ายในระยะยาว
อสังหาริมทรัพย์ยังไม่มีมาตรการช่วยเหลือโดยตรง :
ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของจีน โดยภาครัฐมีแนวโน้มใช้มาตรการ "เร่งปรับปรุงหมู่บ้านเมืองเก่า" และ "ควบคุมปริมาณที่ดินสำหรับโครงการใหม่" เพื่อลดปัญหาบ้านเหลือขาย
อย่างไรก็ตาม Morgan Stanley เชื่อว่ารัฐบาลจีน จะไม่ออกมาตรการช่วยเหลือโดยตรงแก่ภาคอสังหาฯ เพราะกังวลปัญหาความเสี่ยงเชิงศีลธรรม (Moral Hazard)
อุตสาหกรรมเทคโนโลยี เน้นนวัตกรรม-ความพอเพียงในห่วงโซ่อุปทาน :
จีนจะยังคงผลักดันนโยบายพึ่งพาตัวเองในด้านเทคโนโลยีต่อไป โดยจะเน้นไปที่ การลงทุนด้าน AI และการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ การส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตขั้นสูง และการออกกฎหมายส่งเสริมภาคเอกชนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี นักวิเคราะห์ของ UBS คาดว่าจีนจะจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยีของประเทศ และลดการพึ่งพาต่างชาติในห่วงโซ่อุปทาน
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 4 มีนาคม 2568