บีโอไอ-อว.-พลังงาน-ดีอี ผนึกกำลังปูโครงสร้างพื้นฐาน ผลักดันไทยไปสู่อุตสาหกรรมใหม่
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ที่โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยในเสวนา ในหัวข้อ "การขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่" ในงานสัมมนาใหญ่ประจำปีของบีโอไอ ภายใต้แนวคิด “Ignite Thailand: Invest in Endless Opportunities” ว่ายุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ มุ่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์
นายนฤตม์ กล่าวว่า โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมโครงการที่สร้างประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจและมีมูลค่าสูง เช่น เอไอ ระบบอัจฉริยะ และหุ่นยนต์ เป็นต้น ขณะเดียวกันร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุนสร้างฐานผลิตในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมใหม่ อย่างเซมิคอนดักเตอร์ พีซีบี ดิจิทัล
“แนวโน้มสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น ประเทศไทยเตรียมพร้อมรองรับผลกระทบ และทำให้มั่นใจว่าโครงการที่ได้รับการส่งเสริม ต้องมีกระบวนการผลิตในสาระสำคัญเกิดขึ้นจริงภายในประเทศ และไม่มีการสวมสิทธิ พร้อมส่งเสริมให้มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ รวมถึงการร่วมทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ผลิตไทย นอกจากนี้ บีโอไอได้ทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังเพื่อลดผลกระทบจาก Global Minimum Tax โดยให้เครดิตภาษี จากการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน” นายนฤตม์ กล่าว
ขณะที่นายศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า อว. ได้เตรียมแผนพัฒนาบุคลากรรองรับการสร้างอุตสาหกรรมอนาคต ราว 1.8 แสนคน ภายในเป้าหมาย 5 ปี ได้แก่ บุคลากรในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงจำนวน 8 หมื่นคน อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 1.5 แสนคน และ เอไอ 5 หมื่นคน ผ่านการการอัพสกิล รีสกิล การจัดหลักสูตรพิเศษ และการให้ทุนวิจัยและพัฒนาในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีแพลตฟอร์มการพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง STEM One-Stop Service ที่ร่วมกับบีโอไอในการให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนที่มีการลงทุนพัฒนาบุคคลในอุตสาหกรรมเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังมีกลไกของกองทุนวิจัยที่สนับสนุนการพัฒนานักวิจัยเพื่อรองรับอุตสาหกรรมในอนาคต
ด้านนายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ของโลกการลงทุน โดยเฉพาะความผันผวนด้านพลังงานของโลก โดยแผน PDP ฉบับใหม่ ได้เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด จาก 22.6% ในปี 2567 เป็น 51% ในปี 2580 หรือเพิ่มขึ้น 63,867 เมกะวัตต์
นายประเสริฐ กล่าวอีกว่านอกจากนี้ กระทรวงพลังงานได้เตรียมแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมสีเขียว โดยใช้เทคโนโลยีเอไอ รวมถึงอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการจัดทำ Direct PPA ใน 2 รูปแบบ รูปแบบแรก คือ กลไกการจัดหาพลังงานสะอาด (Utility Green Tariff: UGT) สำหรับภาคอุตสาหกรรมผ่านการไฟฟ้า รูปแบบที่สอง เปิดให้เอกชนซื้อไฟฟ้าผ่านบุคคลที่สาม (Third Party Access: TPA) โดยมีโครงการนำร่องในการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จำนวน 2,000 เมกะวัตต์ให้กับธุรกิจ Data Center
ส่วนนายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการเติบโตบนพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิทัล โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี 2570 มูลค่าของเศรษฐกิจดิจิทัล จะมีสัดส่วน 30% ของจีดีพี และก้าวขึ้นไปอยู่ในอันดับ 30 ของประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของโลก ซึ่งในปี 2567 ไทยอยู่ในอันดับที่ 37 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ในอาเซียน โดยปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยอยู่ในอันดับต้น ๆ จากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก
“กระทรวงดีอี พร้อมสนับสนุนความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นจุดหมายด้านการลงทุน โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในหลาย ๆ ด้าน เช่น นโยบาย Cloud First เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางข้อมูลและบริการคลาวด์ของภูมิภาค การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ รวมทั้งมีการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อสนับสนุนการลงทุน เช่น การทำธุรกรรมออนไลน์ สิทธิพิเศษด้านภาษี และการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ”นายวิศิษฏ์ กล่าว
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 12 มีนาคม 2568