FDI ดีต่อเศรษฐกิจไทย สร้างงาน-รายได้จริงหรือ
เชื่อว่าหลายคนมีคำถามว่าประเทศไทยได้ประโยชน์จากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment : FDI)
ที่บริษัทต่างชาติที่ยื่นขอรับการสนับสนุนการลงทุนจากบีโอไอมากน้อยแค่ไหน มีการจ้างงานเกิดขึ้นในประเทศจริงหรือไม่ ที่สำคัญสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนและสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างไร โดยเฉพาะที่ตัวเลขที่นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” อ้างว่าประเทศไทยได้สร้างสถิติใหม่ในการส่งเสริมการลงทุน มีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 1.13 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน
โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ได้ทำงานอย่างหนักในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ในการปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “Ignite Thailand : Invest in Endless Opportunities โอกาสการลงทุนไร้ขีดจำกัดในประเทศไทย” ในงานสัมมนาใหญ่ประจำปีของบีโอไอ ณ ห้องคริสตัล ฮอลล์ ชั้น 3 โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก เขตปทุมวัน กรุงเทพฯวานนี้ (12มี.ค.68) เอาเข้าจริงหากย้อนไปดูข้อมูลของ FDI อาจจะมีการลงทุนได้จริงเพียงครึ่งหนึ่ง เพราะตัวเลขที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนต้องดำเนินการภายใน 3 ปี ซึ่งอาจจะมีการลงทุนจริงทั้งหมด หรือ ลงทุนเพียงส่วนหนึ่งก็เป็นได้
การดึงการลงทุนใหม่ๆเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนที่อยู่ในกลไกของการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจจะต้องมีส่วนร่วมในการผลักดันให้เกิดขึ้นเป็นจริงและจับต้องได้ และต้องลงมือทำอย่างจริงจังให้เห็นผลในทางปฏิบัติ เพราะถ้าผู้ที่ส่วนเกี่ยวข้องมีเพียงการพูดในเวทีต่างๆว่า เราต้องดึงการลงทุนจากต่างประเทศให้มาลงทุนที่ประเทศไทย เราต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ สร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุนสร้างฐานผลิตในอุตสาหกรรมใหม่ แต่ในสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นจริงมากน้อยแค่ไหนยังไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทย
เพราะตัวเลขการส่งเสริมการลงทุนมากมายอย่างที่กล่าวอ้างว่ามีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 1.13 ล้านล้านบาท มูลค่าที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา บวกกับคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่สะสมมาปีละ 7-8 แสนล้านหลายปี ว่ากันว่ารัฐบาลตั้งเป้าให้เกิดการลงทุนจริงให้ได้ 7.5 หมื่นล้านเท่านั้น เพราะจริงๆแล้วคำขอรับการส่งเสริมลงทุนจะสูงกว่าเป้าหมายลงทุนจริงหลายเท่า ฉะนั้นภาพจริงที่เกิดขึ้นกับคำกล่าวอ้างอาจจะไม่ใช้ภาพเดียวกันก็ได้
ถึงเวลาที่เราต้องหันกลับมาดูภาพจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยวันนี้แล้วหรือไม่ว่า เศรษฐกิจไทยเราจะอยู่รอดไปได้อย่างไรในสภาวะที่ยากลำบากกันเช่นนี้ ปี 2540 เราผ่านประสบการณ์วิกฤติต้มยำกุ้งมาแล้ว และขณะนี้เรากำลังอยู่ในสภาพที่รายย่อยก็ลำบาก เพราะกำลังซื้อหดตัว ลามมาถึงรายใหญ่ก็กำลังจะโดนไปด้วย เห็นได้ชัดจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ต้องเร่งระบายสต็อกจากยอดขายชะลอตัวในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา การเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงเล็กน้อยโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจากปี 2567 ยอดคงค้างสูงกว่า 8.5 แสนล้านบาท นี่ยังไม่นับผลกระทบจากเศรษฐกิจประเทศใหญ่ มองไปทางไหนก็ยังไม่เห็นแสงสว่างเลยว่า เราจะผ่านวิกฤตินี้ไปได้อย่างไร
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 13 มีนาคม 2568