ตลาดหุ้นไทยขาลง โอกาสของการลงทุน?
นับตั้งแต่ปี 2567 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีภาวะซึมมาอย่างต่อเนื่อง จนช่วงที่ผ่านมานับแต่เริ่มต้นปีใหม่ 2568 ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับตัวลดลงไปแล้วกว่า 16% และดัชนีลดต่ำไปปิดที่ระดับ 1,177.44 จุด เป็นระดับที่ต่ำที่สุดในช่วง 52 สัปดาห์ เมื่อวันจันทร์ที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งก็ยังมีโอกาสที่ดัชนีจะต่ำลงไปกว่านี้ นักวิเคราะห์ได้ออกมาให้ทัศนะต่อการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่ามีสาเหตุหลัก ๆ จากทั้งปัจจัยทั้งภายในและภายนอก
ปัจจัยภายนอกที่สำคัญคงไม่พ้นการปรับเปลี่ยนนโยบายทางการค้าของสหรัฐอเมริกา โดยการนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะใช้การตั้งกำแพงภาษีต่อประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ และไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุล ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลและทยอยขายหุ้นในตลาดเพื่อลดความเสี่ยง
นอกจากนั้น ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่ารวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้น ความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่อาจลดลงช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ตลาดจึงคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะไม่ลดดอกเบี้ยเร็วนัก กอปรกับค่าเงินบาทที่มีความผันผวนค่อนข้างมาก ราคาน้ำมันโลกปรับตัวลงส่งผลกระทบหุ้นกลุ่มน้ำมัน ปัจจัยเหล่านี้ไม่ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยนัก
ปัจจัยภายในทั้งการที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวและเติบโตช้าเมื่อเทียบประเทศในกลุ่มอาเซียน ขาดปัจจัยบวกสนับสนุนทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้วทั้งการแจกเงิน 10,000 บาท ในกลุ่มเปราะบาง กลุ่มผู้สูงอายุ และกำลังจะดำเนินการในกลุ่มวัยรุ่น ดูจะไม่ได้ส่งผลเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างที่รัฐบาลกล่าวอ้างเท่าใดนัก นอกจากนั้น โครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาภาคบริการจากการท่องเที่ยว และการส่งออก ยิ่งสะท้อนถึงความเปราะบางต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอยู่มาก
กอปรกับโครงสร้างภาคบริการที่เป็นฟันเฟืองใหญ่ของเศรษฐกิจไทย ยังอิงกับธุรกิจบริการแบบดั้งเดิม (Traditional services) ซึ่งใช้แรงงานทักษะต่ำเป็นหลัก อาทิ ภาคค้าส่ง-ค้าปลีก โรงแรมและร้านอาหาร ขณะที่ Modern Services ซึ่งใช้เทคโนโลยีและทักษะแรงงานขั้นสูง อาทิ บริการด้าน IT ลิขสิทธิ์ทางปัญญา และธุรกิจการเงิน มีสัดส่วนเพียงที่ 14% ของ GDP ส่วนภาคบริการของไทยแม้จะมีการจ้างงานจำนวนมาก แต่ผลิตภาพแรงงานยังต่ำกว่าภาคการผลิต
หากพิจารณาความเสี่ยงของตลาดหลักทรัพย์ไทยทั้งสองด้านแล้วจะเห็นได้ว่า ความคาดหวังที่ตลาดจะปรับตัวขึ้นไปสู่ระดับที่เคยเป็นในอดีตที่ระดับ 1,500-1,600 จุด เป็นไปได้ยาก การไหลออกของเงินทุนต่างประเทศที่ไปสู่ทางเลือกอื่น ขาดความเชื่อมั่นกับเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหุ้นของไทย และยังไม่เห็นถึงปัจจัยบวกที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาได้ในเวลาสั้นหรือแม้แต่ระยะกลาง
แต่กลับมีประเด็นทางด้านลบที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยที่ปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ความสามารถในการแข่งขันลดลง และนโยบายทางเศรษฐกิจที่ไม่เห็นถึงทิศทางของการผลักดันให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด การใช้มาตรการแบบเดิมในการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายและการลงทุนจากภาครัฐ มีข้อจำกัดจากงบประมาณและเพดานหนี้สาธารณะ
การรับมือกับโครงสร้างทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมสูงวัย การจัดการกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่กัดกร่อนสังคมไทย การผลักดันให้เกิดการลงทุนโดยภาคเอกชน การพัฒนายกระดับแรงงานให้มีทักษะสูง การสร้างบรรยากาศการลงทุนจากต่างประเทศโดยลดข้อจำกัดทางด้านกฎระเบียบข้อบังคับ และยกระดับธรรมาภิบาลในการบริหาร เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม
แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามเสนอมาตรการที่จะพยุงตลาดหุ้น ทั้งมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน ThaiESG, SFF, RMF หรือกองทุนเพื่อเพิ่มการลงทุนในตลาดอย่างกองทุนรวมวายุภักษ์ แต่หากนักลงทุนที่เลือกลงทุนในทางเลือกเหล่านี้ ได้รับผลกระทบจากภาวะซึมและขาลงของตลาดฯ ย่อมลดทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน และไม่ส่งผลพยุงตลาดอย่างที่คาด
ผลกระทบไม่ใช่เพียงเห็นได้ในระยะสั้นที่ผลตอบแทนลดต่ำลงหรือขาดทุนจากการลงทุน แต่จะส่งผลต่อเนื่องในระยะยาวต่อความมั่งคั่งของผู้ลงทุนในการสะสมทุนสำหรับวัยเกษียณ เพราะมูลค่าการลงทุนที่ลดลงของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนการออมต่างๆ
การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของไทย และสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมา เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่งผลต่อตลาดหลักทรัพย์ในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น รายได้และกำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นส่งผลต่อราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น อัตราการบริโภคและการลงทุนเพิ่มขึ้น
กระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทำให้ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงสูงขึ้น และสภาพคล่องในระบบการเงินสูงขึ้นส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นน่าสนใจขึ้น และในขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นส่งผลต่อความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของธุรกิจ ในภาวะที่ตลาดหุ้นมีแข็งแกร่งจะช่วยให้บริษัทสามารถระดมทุนเพื่อขยายกิจการ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ หากตลาดหุ้นปรับตัวลดลงรุนแรง ย่อมส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของผู้บริโภคและการลงทุน อาจนำไปสู่ความเสี่ยงของเศรษฐกิจหดตัวได้
ดังนั้น การจะพิจารณาว่าทิศทางขาลงของตลาดฯ เป็นโอกาสในการลงทุน เพราะปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยไม่เปลี่ยนแปลงอย่างที่นักการเมืองที่มีตำแหน่งบริหารท่านหนึ่งได้แสดงทัศนะไว้ อาจไม่เป็นเช่นนั้น หากยังมีปัจจัยจำนวนมากที่จะส่งผลต่อความเสี่ยงของตลาด และในระยะยาวหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ตลาดฯ จะเผชิญความยากลำบากในการกลับมายืนที่ระดับที่เคยเป็นหรือแม้แต่เป็นไปไม่ได้เลย
สำหรับนักลงทุนในภาวะตลาดเช่นนี้ ต้องพิจารณาทางเลือกการลงทุนอย่างละเอียด โดยเฉพาะการประเมินมูลค่าของหลักทรัพย์ตามปัจจัยพื้นฐาน เพราะแม้ภาพรวมของตลาดจะเป็นทิศทางขาลง แต่ยังมีหลักทรัพย์ไทยในบางกลุ่มที่ยังมีแข็งแกร่งจากผลประกอบการ และรักษาระดับราคาไว้ได้ เช่น กลุ่มธุรกิจการเงิน นอกจากนั้นแล้ว นักลงทุนต้องยึดหลักการกระจายความเสี่ยงของการลงทุนอย่างเข้มงวด การกระจุกตัวในทางเลือกการลงทุนใดมากเกินไปส่งผลต่อความเสี่ยงของเงินลงทุน และอย่าลืมความจริงว่า ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้มีแต่ในประเทศไทยตลาดเดียว
*อ้างถึง จิตเกษม พรประพันธ์, ฐิตา เภกานนท์, ปวีร์ ศิริมัย, กชพรรณ สัลเลขนันท์ (2563) ภาคบริการไทย…เปลี่ยนให้ปัง! ปรับให้โดน!! ธนาคารแห่งประเทศไทย เข้าถึงได้จาก https://www.bot.or.th/th/research-and-publications/articles-and-publications/articles/Article_16Jan2020.html
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 13 มีนาคม 2568