สงครามค้าสหรัฐ ลามถึงยุโรป เพิ่มเสี่ยงศก.โลก แนะ รบ. หามาตรการรับมือแรงกระแทก
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า สงครามการค้าขยายวงสู่การตอบโต้ด้วยกำแพงภาษีระหว่างสหรัฐอเมริกากับยุโรป
ผลของการตอบโต้กันด้วยมาตรการกีดกันการค้าในรูปแบบต่างๆ เพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก และจะทำให้ปริมาณการค้าในสินค้าและบริการที่มีการตั้งกำแพงภาษีต่อกันระหว่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปลดลงอย่างมาก กำแพงภาษีนำเข้าที่สหรัฐและยุโรปใช้ตอบโต้กัน เริ่มต้นจากการเก็บภาษีนำเข้า 25% ต่อผลิตภัณฑ์เหล็กและอะลูมิเนียมโดยสหรัฐ ตามมาด้วยการตอบโต้ของอียูประกาศจะเก็บภาษีสินค้าต่างๆ รวมทั้งวิสกี้จากสหรัฐมูลค่ารวมกว่า 28,000 ล้านดอลลาร์
สงครามการค้าลามยุโรปทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีนำเข้าไวน์-เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 200% หวั่น ศก.โลกทรุดตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์
และล่าสุดรัฐบาลทรัมป์ขู่จะเก็บภาษีไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากยุโรป 200% ข้อมูลจากศูนย์การค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ พบว่า สหรัฐอเมริกานำเข้าไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และน้ำส้มสายชูจากอียูมากกว่า 14,200 ล้านดอลลาร์ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนระหว่างสหรัฐและอียูมีมูลค่าใหญ่มาก จากข้อมูลของ European Commission ระบุว่า เมื่อปี พ.ศ.2566 มูลค่าการค้าและบริการของสหรัฐกับอียูอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านยูโร
โดยสหรัฐขาดดุลการค้ากับอียูประมาณ 1.55 แสนล้านยูโร แต่สหรัฐเกินดุลต่ออียูในภาคบริการประมาณ 1.04 แสนล้านยูโร ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้า ก่อให้เกิดการจ้างงานและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อผู้คนจำนวนมากทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค มีห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกันอย่างมาก การเกิดสงครามตอบโต้ด้วยกำแพงภาษีนำเข้าจะทำให้เศรษฐกิจและระบบการค้าโลกทรุดตัวเร็วกว่าที่ประเมินไว้เดิม
ดร.อนุสรณ์กล่าวว่า ภาษีนำเข้าจะก่อให้เกิดการบิดเบือน (Distortions) ต่อระบบราคาของทั้งสหรัฐและอียู และจะส่งผลกระทบต่อระบบราคาในตลาดโลกโดยรวมอีกด้วย เป็นการทำให้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกาภิวัตน์เคลื่อนออกห่างจากประโยชน์ของการค้าเสรีและประสิทธิภาพสูงสุด ราคาถูกบิดเบือนโดยภาษีจะทำให้เกิดการปรับตัวด้านราคา
อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นสูงในหลายประเทศ เกิดการปรับตัวของปริมาณการผลิต การค้า การบริโภค การลงทุนและสวัสดิการโดยรวมของระบบเศรษฐกิจ ผลของการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าจะมีผลต่อราคาภายในประเทศ และอัตราส่วนการค้าจะเป็นอย่างไรนั้น จะขึ้นอยู่กับขนาดของประเทศที่เก็บอากรนำเข้าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั้งหมดในตลาดโลก (The Rest of the World)
กรณีสงครามภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐกับอียูนั้นถือว่ามีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน จะทำให้ทั้งปริมาณและมูลค่าการค้าหดตัวลง มีการผลักภาระภาษีไปยังผู้บริโภค ค่าส่วนเกินของผู้ผลิตภายในเพิ่มขึ้นบนสวัสดิการของสังคมโดยรวมที่ลดลง
คาดสินค้าเอเชีย-จีนมีโอกาสตีตลาดยุโรปเพิ่ม
ดร.อนุสรณ์กล่าวว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับยุโรป จะทำให้เกิดโอกาสทางเศรษฐกิจและการส่งออกสินค้าและบริการของเอเชียโดยเฉพาะจีน กำลังการผลิตส่วนเกินจำนวนมากของจีนจะถูกใช้เพื่อตอบสนองต่อผู้บริโภคของหลายประเทศในยุโรปจากราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นจากกำแพงภาษี ขณะเดียวกัน มีแนวโน้มที่สงครามการค้าด้วยกำแพงภาษีนำเข้า อาจเคลื่อนตัวสู่สงครามค่าเงินมากขึ้น เคลื่อนตัวสู่สงครามการค้าด้วยมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariffs Barriers) รวมทั้งมาตรการทางเทคนิค (Technical Barriers to Trade) และเป็นมาตรการเลือกปฏิบัติมากขึ้น (Discriminatory)
ดร.อนุสรณ์กล่าวว่า สิ่งที่สินค้าส่งออกไทยต้องเผชิญนั้นจะไม่ใช่เพียงกำแพงภาษีนำเข้าจากสหรัฐเท่านั้น หากจะยังเจอกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี โดยเฉพาะการอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงาน ชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ มาตรการกีดกันทางเทคนิคก็เป็นสิ่งที่ภาคส่งออกไทยต้องเตรียมรับมือเอาไว้ด้วย เนื่องจากหลายประเทศอาจนำมาใช้เป็นมาตรการแทรกแซงทางการค้า
มาตรการเหล่านี้ถือเป็นลัทธิปกป้องทางการค้าแนวใหม่ (New Trade Protectionism) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1)มาตรการคุณภาพสินค้าและกระบวนการทดสอบ จะมีการกำหนดมาตรฐานสินค้าไว้อย่างเคร่งครัดเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพของผู้บริโภค จะมีทั้งมาตรฐานขั้นต่ำเพื่อความปลอดภัยและมาตรฐานความเป็นเลิศทางคุณภาพ และต้องมีใบรับรองมาตรฐานจากประเทศนำเข้าเท่านั้น ผู้ส่งออกไม่สามารถออกเองได้
2)การจัดระบบตลาดภายในเพื่อเป็นอุปสรรคขัดขวางผู้เข้ามาแข่งขันรายใหม่จากต่างชาติ
3)การส่งเสริมการรวมกลุ่มของบริษัทภายในให้มีลักษณะเป็น Vertical Integration เพื่อสร้างความได้เปรียบต่อสินค้านำเข้าจากประเทศคู่แข่ง
4)การรวมกลุ่มกันเป็น Cartel เพื่อสร้างอำนาจผูกขาดและกีดกันสินค้าจากต่างประเทศ เป็นต้น
คาดนักลงทุนแห่ถือทองคำหลังดอลลาร์อ่อนตัว :
รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวว่า ปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอันเป็นผลกระทบจากสงครามการค้า อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นจากภาษีนำเข้า จะกดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่า ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลทำให้นักลงทุนถือครองทองคำมากขึ้นเนื่องจากมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงปลอดภัยภายใต้สงครามทางการค้าราคาทองคำมีโอกาสเดินหน้าต่อทดสอบ 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ทิศทางนี้จะยังไม่เปลี่ยนแปลง ตราบเท่าที่สงครามการค้ายังขยายวงอย่างต่อเนื่อง คาดธนาคารกลางสหรัฐยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.25-4.50% ในการประชุมวันพุธที่ 19 มีนาคม ศกนี้ และมีความเป็นไปได้ที่อาจปรับลดดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนหลังเห็นสัญญาณของการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจชัดเจนขึ้น
หวั่นอุตฯไทยลดจ้างงานหลังค้าโลกสะดุด แนะรบ.ออกมาตรการรองรับ :
รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวต่อว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงพร้อมกับการหดตัวของปริมาณการค้าโลก อาจมีหลายอุตสาหกรรมของไทยลดการจ้างงานและปลดคนงานออก รัฐบาลจำเป็นต้องเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อเสริมสร้างสวัสดิการสังคมให้เข้มแข็งรับแรงกระแทกเศรษฐกิจโลก และรองรับ “คนว่างงาน” ที่อาจเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ระบบการค้าเสรีจะทำให้ธุรกิจอุตสาหกรรมปรับตัวตามความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบและกลไกราคา ขณะที่สงครามทางการค้าจากกำแพงภาษีจะทำให้การปรับตัวของโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและอียูบิดเบือนไปจากความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของประเทศ
ประเทศไทยควรทำการค้ากับต่างประเทศอย่างเสรีต่อไป การปรับตัวของโครงสร้างเศรษฐกิจ การปรับตัวของตลาดแรงงานก็จะเกิดขึ้นตลอดเวลา ธุรกิจอุตสาหกรรมของไทยที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากการนำเข้าและการทุ่มตลาดจากต่างประเทศก็ต้องปรับตัวให้แข่งขันให้ได้ หากแข่งขันไม่ได้ก็ต้องลดหรือเลิกผลิตสินค้านั้นและเคลื่อนย้ายทรัพยากรไปผลิตสินค้าอื่นที่ไทยมีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ อย่างไรก็ตาม กระบวนปรับตัวนี้ต้องมีมาตรการของรัฐมาช่วยสนับสนุน แต่ “ไทย” ไม่ควรเลือกวิธีการตอบโต้ด้วยกำแพงภาษีเพราะผู้บริโภคชาวไทยได้รับผลกระทบขณะที่ผู้ผลิตภายในได้ประโยชน์ไม่มาก
ชี้รบ.-เอกชนร่วมมือใกล้ชิดฝ่าผลกระทบสงครามการค้า :
รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวว่า เสนอแนะมาตรการและแนวทางในการรับมือผลกระทบกำแพงภาษีนำเข้าต่อสินค้าไทยและสงครามการค้าขยายวงระหว่างสหรัฐและยุโรปว่า เบื้องต้น
ข้อแรก :
รัฐบาลควรประสานความร่วมมือกับภาคธุรกิจเอกชน ภาคแรงงานและภาควิชาการในการติดตามสถานการณ์พลวัตของสงครามการค้าและผลกระทบอย่างใกล้ชิด
ข้อสอง :
รัฐบาลควรตั้งคณะทำงานเพื่อเป็นทีมกำหนดยุทธศาสตร์การเจรจาต่อรองทางการค้าขึ้น ที่ทำหน้าที่มากกว่าที่ดำเนินการตามปกติของระบบราชการ
ข้อสาม :
การบูรณาการข้อมูลเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนระหว่างประเทศทั้งหมดเพื่อใช้ในการกำหนดการเจรจาทางการค้า
ข้อสี่ :
ใช้มาตรการทางเทคนิคในการปกป้องอุตสาหกรรมและตลาดแรงงานภายในประเทศจากผลกระทบของการทุ่มตลาด
ข้อห้า :
ส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเพิ่มมูลค่าการค้าภายในประชาคมอาเซียน
ข้อหก :
แสวงหาตลาดใหม่ๆ ทดแทนสินค้าที่ถูกกีดกันจากกำแพงภาษีจากสหรัฐ
ข้อเจ็ด :
โอกาสทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนได้เกิดขึ้นท่ามกลางสงครามภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐกับอียู ควรตั้งทีมงานเพื่อเจาะลึกไปยังผู้นำเข้าที่ต้องแสวงหาสินค้าทดแทน
ส่วนมาตรการระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเพิ่มผลิตภาพของทุนและแรงงาน การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน การลงทุนในการวิจัยและนวัตกรรม การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การแปรรูปและพัฒนาสินค้าให้มีมูลค่าสูงขึ้น เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ต้องเดินหน้าดำเนินการอย่างจริงจังภายใต้การมีเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตย
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 16 มีนาคม 2568