เอเชียเตรียมตั้งรับ "ภาษีทรัมป์" ส่อฉุดเศรษฐกิจหดตัว 1.3%
ประเทศเอเชียเสี่ยงเข้าเกณฑ์ Dirty 15 เตรียมตั้งรับ "ภาษีทรัมป์" 2 เม.ย.นี้ คาด ฉุดเศรษฐกิจหดตัว 1.3% หนุนภูมิภาคกระชับสัมพันธ์การค้าลดพึ่งพา "สหรัฐ"
“เอเชีย” กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ในรอบหลายสิบปีจากนโยบาย “ภาษีตอบโต้” ของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” เนื่องจากเศรษฐกิจส่วนใหญ่เติบโตมาจากการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐ
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าเอเชียตกเป็นเป้าหมายของนโยบายกีดกันทางการค้าของทรัมป์ นอกเหนือจากเม็กซิโก แคนาดาและสหภาพยุโรป โดยสงครามการค้าครั้งใหม่มุ่งเป้าไปที่ “จีน” ด้วยการเริ่มเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากจีน 20% นอกจากนี้ทรัมป์ยังกล่าวถึงเวียดนาม เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอินเดีย โดยบอกว่าประเทศเหล่านี้เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐสูงเกินไป หรือไม่ก็มีการเกินดุลการค้าส่งออกไปสหรัฐมากกว่านำเข้า หรืออาจเป็นทั้งสองกรณี
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก 25% ที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตเหล็กในเอเชีย รวมทั้งการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% จะส่งผลกระทบต่อผลกำไรของผู้ผลิตรถยนต์หลายรายจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
ล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์กล่าวในเดือนมี.ค.ว่า ภาษีตอบโต้ที่จะเริ่มในวันที่ 2 เม.ย.นี้ จะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มประเทศ “Dirty 15” ในเรื่อง “การขาดดุลการค้า” แม้ว่าเบสเซนต์ยังไม่ได้ระบุชื่อประเทศอย่างชัดเจน แต่รายงานจากบลูมเบิร์กอีโคโนมิกส์ชี้ให้เห็นว่ามีหลายประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ โดยเป็นประเทศใน “เอเชีย” มากถึง 9 ประเทศ ดังนั้นการรีดภาษีในครั้งนี้จะกระทบต่อเศรษฐกิจของภูมิภาคที่มีมูลค่ารวมกันถึง 41 ล้านล้านดอลลาร์
ฉุด ‘เศรษฐกิจ-การลงทุน’ เอเชีย :
โรแลนด์ ราจาห์ นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันโลวี่มองว่า มาตรการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นภัยคุกคาม “ร้ายแรง” ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชียที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก
นักเศรษฐศาสตร์จากโกลด์แมนแซคส์คาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วภูมิภาคเอเชียอาจลดลงถึง 1.3% เนื่องจากประเทศเหล่านี้พึ่งพาการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐทั้งทางตรงและทางอ้อม
นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ยังกังวลว่าผลกระทบจะลามมาถึงตลาด “การลงทุน” ในเอเชีย เนื่องจากบริษัทต่างๆ อาจชะลอการจ้างงานและการขยายธุรกิจ เพื่อรอดูท่าทีของนโยบายการค้าที่ไม่แน่นอนนี้
ข้อมูลจากแบงก์ออฟอเมริกายังเผยว่าการไหลเข้าของเงินทุนไปยังตลาดเกิดใหม่ในเอเชียอยู่ในระดับที่อ่อนแอที่สุดในรอบ 9 ปี นับตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่ากังวลสำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้
เชตัน อัคยา นักเศรษฐศาสตร์จากมอร์แกน สแตนลีย์คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางในเอเชียอาจต้องพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่าช่วงสงครามการค้าครั้งก่อนในช่วงปี 2561 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลดดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถชดเชยผลกระทบจากการชะลอตัวของการลงทุนและการค้าได้ทั้งหมด
เอเชียเดินเกม ‘ประนีประนอม’ ลดแรงกดดัน :
เอเชียเป็นภูมิภาคที่พึ่งพาการค้ากับสหรัฐ เมื่อต้องเผชิญกับนโยบายกีดกันทางการค้า กลยุทธ์หลักที่หลายประเทศใช้คือการ “ประนีประนอม” และเอาใจทรัมป์เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
ผู้นำหลายคนเดินทางไปเยือนสหรัฐเพื่อให้คำมั่นสัญญาว่าจะซื้อสินค้าจากสหรัฐมากขึ้นและแสดงความชื่นชมต่อระบบการค้าเสรี รวมถึงบริษัทใหญ่ในเอเชียก็ประกาศแผนการลงทุนใหม่ในสหรัฐอย่างต่อเนื่อง เช่นฮุนได มอเตอร์จากเกาหลีใต้ ที่ประกาศลงทุนในสหรัฐกว่า 21,000 ล้านดอลลาร์
ชาง ชู หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียจากบลูมเบิร์กมองว่า การที่ภูมิภาคเอเชียพึ่งพาการเติบโตทางเศรษฐกิจจากการส่งออกมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ ดังนั้นสงครามการค้าอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเอเชียได้ ทำให้รัฐบาลส่วนใหญ่เลือกที่จะดำเนินนโยบายอย่าง “ระมัดระวัง” แทนที่จะตอบโต้สหรัฐโดยตรง ซึ่งอาจเป็นการการเจรจาทางการค้า และการริเริ่มข้อตกลงต่างๆ เพื่อลดภาษี
หนุนเอเชียลดพึ่งพา ‘สหรัฐ’ หันซบ ‘จีน’ :
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ประเทศในเอเชียเริ่มคิดทบทวนและวางแผนที่จะกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายที่จะลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐและหันมาสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจภายในภูมิภาคมากขึ้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ นอกจากนี้ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ยังให้สัญญาว่าจะเปิดตลาดจีนให้บริษัทต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น รวมถึงความหวังว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะเติบโต ทำให้หุ้นปรับตัวสูงขึ้นได้ แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากนโยบายการค้าของทรัมป์ก็ตาม
รวมทั้งแรงกดดันจากนโยบายการค้าของทรัมป์ยังเป็นตัวเร่งให้ความสัมพันธ์ทางการค้าในภูมิภาคเอเชียแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยญี่ปุ่นและจีนได้กลับมาจัดการเจรจาด้านเศรษฐกิจระดับสูงเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา
หลุยส์ คูอิจส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ เอส แอนด์ พี โกลบอลเรทติ้งส์มองว่า การที่ภูมิภาคนี้หันมาให้ความสำคัญกับความต้องการบริโภคภายในประเทศและการค้าขายระหว่างประเทศในเอเชียเองมากขึ้น อาจช่วยให้ภูมิภาคนี้หลีกเลี่ยงผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดจากการเก็บภาษีใหม่ของทรัมป์ได้
“การเก็บภาษีเหล่านี้จะ "บีบ" แต่จะไม่ถึงกับทำให้การเติบโตของภูมิภาคหายใจไม่ออก"
ปัจจุบัน เอเชียมีข้อตกลงการค้าระหว่างกันคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของข้อตกลงการค้าทั่วโลก ซึ่งรวมถึงข้อตกลงที่สำคัญอย่าง ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP ที่ถือเป็นข้อตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก
อินู มานัก นักวิจัยด้านนโยบายการค้าจากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมองว่า สหรัฐอาจได้รับผลเสียระยะยาวที่น่ากังวลที่สุดจากมาตรการภาษีของสหรัฐเอง การที่สหรัฐพยายามกีดกันจีนอาจทำให้ประเทศอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับทั้งสองประเทศต้องตัดสินใจเลือกข้าง ซึ่งอาจส่งผลให้ประเทศเหล่านั้นหันไปใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น
“สิ่งที่ผมกังวลมากที่สุดคือ แรงกดดันที่สหรัฐพยายามจะตัดขาดความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับจีน ซึ่งเหมือนเป็นการบังคับให้ประเทศอื่นๆ ต้องเลือกว่าจะอยู่ข้างไหน และในสถานการณ์นี้ จีนมีแนวโน้มที่จะได้เปรียบมากกว่า”
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 1 เมษายน 2568