ททท.ปั๊มตลาดตะวันออกกลาง ความหวังใหม่ดันรายได้ "ท่องเที่ยว"
นักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง (Middle East) คือหนึ่งในตลาดเป้าหมายสำคัญของภาคการท่องเที่ยวของไทย พร้อมทั้งคาดหวังว่าจะเป็นตลาดใหม่ที่เข้ามาช่วยทำให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวของไทยในปี 2568 นี้เติบโตได้ตามเป้าหมาย หลังจากที่ตลาดนักท่องเที่ยวจีนตกอยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ จากการสำรวจของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พบว่าในปี 2566 ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคตะวันออกกลางมีการใช้จ่ายสูงสุดเฉลี่ย 88,512 บาท/คน/ทริป โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซาอุดีอาระเบีย โอมาน และคูเวต โดยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สูงสุดเป็นอันดับ 1 เฉลี่ย 8,834 บาท/คน/วัน
บูมตลาดตะวันออกกลาง
โดยข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาระบุว่า ณ วันที่ 22 เมษายน 2568 มีนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคตะวันออกกลางเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยแล้ว 162,790 คน โดยเฉพาะ “ซาอุดีอาระเบีย” มีอัตราการเติบโตถึง 15.26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับตลอดทั้งปี 2568 นี้ ททท.ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและแอฟริกา จำนวนรวม 1.1 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 98,000 ล้านบาท
“ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์” ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้ข้อมูลว่า ปีนี้ ททท.จะเพิ่มน้ำหนักในการทำตลาดในภูมิภาคตะวันออกกลางให้มากขึ้น เพื่อขยายฐานนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพสูง หลังแนวโน้มตลาดยุโรปและเอเชียบางส่วนชะลอตัว
ขนเอกชนร่วม ATM 2025 ดูไบ :
โดยเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ททท.ได้ร่วมกับพันธมิตรสายการบินรายใหญ่อย่าง Emirates, Etihad และ Dnata Travel เปิดตัวแคมเปญใหญ่ “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” เพื่อเป็นการขยายเครือข่ายการเดินทาง และยกระดับภาพลักษณ์ประเทศไทยในกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับพรีเมี่ยม
ADVERTISMENT
และเข้าร่วมงาน “Arabian Travel Market (ATM) 2025” ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ 28 เมษายน-1 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยได้นำคณะผู้ประกอบการไทยรวมกว่า 55 ราย
ประกอบด้วย โรงแรมระดับ 5 ดาว บริษัททัวร์ โรงพยาบาล ศูนย์เวลเนส ศูนย์การค้า และธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยว ได้ร่วมพบปะเจรจาธุรกิจกับผู้ซื้อจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากกลุ่มประเทศ GCC (Gulf Cooperation Council)

“ตลาดตะวันออกกลางเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงมาก นักท่องเที่ยวมีกำลังซื้อสูง พำนักนาน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปสูงถึง 90,000 บาท และส่วนใหญ่มาไทยเป็นครั้งแรก จึงมีโอกาสเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะในกลุ่ม Wellness, Luxury, Halal-friendly, กลุ่มครอบครัว และกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ Gen Y, Gen Z ที่มองหาประสบการณ์แปลกใหม่”
ผนึกสายการบินรายใหญ่
สำหรับคูหาประเทศไทยในงาน ATM 2025 ปีนี้ “ฐาปนีย์” บอกว่า มีขนาดใหญ่ถึง 315 ตารางเมตร นำเสนอภายใต้แนวคิด “หรูหราแบบไทย” หรือ Thai Luxury Identity ผ่านการออกแบบคูหาที่เชื่อมโยงความงามของวัฒนธรรมไทยเข้ากับประสบการณ์การท่องเที่ยวระดับพรีเมี่ยม
อาทิ การพักผ่อนระดับหรู การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Wellness Retreat) ไลฟ์สไตล์ การช็อปปิ้ง และอาหารไทย ซึ่งได้รับความนิยมสูงในกลุ่มนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOC) กับสายการบิน Emirates สายการบิน Etihad รวมถึงบริษัท Dnata Travel ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการเดินทางรายใหญ่ของตะวันออกกลาง เพื่อสนับสนุนแคมเปญส่งเสริมการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย ทั้งผ่านการเพิ่มเที่ยวบิน การจัดแพ็กเกจท่องเที่ยว และการสื่อสารภาพลักษณ์ในระดับภูมิภาค
ลุยโรดโชว์ต่อ “ซาอุฯ-กาตาร์”
“ฐาปนีย์” บอกอีกว่า หลังจากจบงาน ATM 2025 ที่ดูไบ ททท.ยังมีแผนจัดกิจกรรม Amazing Thailand Post ATM Roadshow 2025 ระหว่างวันที่ 4-7 พฤษภาคม 2568 ณ กรุงริยาด และเมืองดัมมัม ประเทศซาอุดีอาระเบีย และเมืองโดฮา ประเทศกาตาร์
ภายในงานนี้เน้นนำเสนอสินค้าท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม เช่น ฟาร์มสเตย์ที่เขาใหญ่, ซาฟารีทัวร์ที่กุยบุรี, แพ็กเกจ Wellness ที่เกาะสมุย และแหล่งช็อปปิ้งในกรุงเทพฯ เป็นต้น
โดยเป้าหมายในครั้งนี้ไม่เพียงแค่การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว แต่ยังเป็นการยกระดับคุณภาพนักท่องเที่ยวและสร้างเศรษฐกิจท่องเที่ยวที่สมดุลและยั่งยืนมากขึ้นด้วย
ตลาดระยะไกลฟื้นตัวต่อเนื่อง
ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์วิจัยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT-Intelligence Center) เผยให้เห็นถึงแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวระยะไกลที่เดินทางมายังประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2561 จนถึงประมาณการในปี 2568 ว่า ตลาดยุโรปยังคงเป็นตลาดสำคัญอันดับหนึ่ง
ในปี 2561 มีนักท่องเที่ยวยุโรปเดินทางมาไทย 6.6 ล้านคน ลดลงเล็กน้อยเป็น 6.5 ล้านคนในปี 2562 ก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างหนัก อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าในปี 2568 จะกลับมาเติบโตแข็งแกร่งถึง 7.69 ล้านคน ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 8 ปี
ขณะที่ตลาดอเมริกาแสดงแนวโน้มฟื้นตัวดี คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยว 1.6 ล้านคนในปี 2568 ใกล้เคียงระดับก่อนโควิด ส่วนตะวันออกกลางคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 ล้านคนจาก 727,000 คนในปี 2562 ขณะที่แอฟริกาคาดว่าจะลดลงเหลือ 151,000 คน
ส่วนตลาดเอเชีย (ไม่รวมประเทศเพื่อนบ้านระยะใกล้) คาดว่าจะอยู่ที่ 2.8 ล้านคน และโอเชียเนียประมาณ 882,000 คน
ข้อมูลดังกล่าวนี้สะท้อนสัญญาณบวกของการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยมีตลาด “ยุโรป” เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวระยะไกลของไทย
‘เอมิเรตส์-เอทิฮัด’ บินตรงกระบี่-เชียงใหม่
เป้าหมายการรุกตลาดนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางคือ การผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเดินทางของภูมิภาคอาเซียน และมีรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าประเทศ
ดังนั้น ในงาน Arabian Travel Market (ATM) 2025 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ททท.จึงได้ลงนามความร่วมมือกับพันธมิตรสายการบินระดับโลก 2 รายใหญ่คือ เอทิฮัด (Etihad) และเอมิเรตส์ (Emirates) สร้างประสบการณ์ในการเดินทางที่ไร้รอยต่อให้กับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย
รวมทั้งทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำ และศูนย์กลางในการเดินทางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากสายการบิน Etihad และ Emirates ถือเป็น 2 สายการบินระดับโลกที่มีเครือข่ายกว้างขวางและมาตรฐานการให้บริการเหนือระดับ
ปัจจุบันสายการบิน Etihad เตรียมเปิดให้บริการเพิ่มเส้นทางบินกระบี่ในเดือนตุลาคม และเชียงใหม่ในเดือนพฤศจิกายนนี้ เพิ่มเติมจากเส้นทางสู่กรุงเทพฯ และภูเก็ตในปัจจุบัน
ขณะที่สายการบิน Emirates ให้บริการ 49 เที่ยวบินต่อสัปดาห์สู่กรุงเทพฯ และภูเก็ต ด้วยเครื่องบินแอร์บัส A380 และโบอิ้ง 777 พร้อมทั้งมอบประสบการณ์การเดินทางสุดพิเศษให้กับผู้โดยสารด้วยพรีเมี่ยมเลานจ์ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริเวณอาคารผู้โดยสาร Satellite 1 (SAT-1) ซึ่งเป็นเลานจ์ที่ใหญ่ที่สุดที่ให้บริการนอกสนามบินดูไบ
โดยมุ่งหวังว่าการลงนามร่วมกันครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางแบบ Quality Leisure ของกลุ่มนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง โดยเฉพาะสินค้าทางการท่องเที่ยวด้าน Health & Wellness, Luxury และ Sports Tourism
และเป็นอีกหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายตลาดนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางและแอฟริกาตามที่ตั้งไว้ที่จำนวนนักท่องเที่ยว 1.1 ล้านคน สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวกว่า 98,000 ล้านบาทในปี 2568
ที่มา ประชาขาติธุรกิจ
วันที่ 7 พฤษภาคม 2568