เปิดเบื้องหลังปฏิบัติการลับ! อินเดียโจมตีปากีสถาน เกิดอะไรขึ้นในแคชเมียร์?
อินเดียเปิดฉากโจมตีทางอากาศในปากีสถานและแคชเมียร์แบบไร้เสียงประกาศ จุดชนวนความระอุในพื้นที่พิพาทอีกครั้ง โลกจับตา สงครามหรือการส่งสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์?
สองสัปดาห์หลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญในเมืองพาฮาลแกม รัฐชัมมูและแคชเมียร์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของอินเดีย ซึ่งกลุ่มติดอาวุธบุกโจมตีนักท่องเที่ยวจนมีผู้เสียชีวิตถึง 26 คน ความโกรธเกรี้ยวในอินเดียก็ปะทุขึ้น และการตอบโต้ที่หลายฝ่ายคาดว่าจะเกิดขึ้นก็ไม่ต้องรอนาน
อินเดียเปิดฉาก "ปฏิบัติการซินดูร์" (Operation Sindoor) โดยส่งเครื่องบินรบโจมตีจุดยุทธศาสตร์ 9 แห่งในดินแดนของปากีสถานและแคชเมียร์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของปากีสถาน ในช่วงกลางดึกวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้กลุ่มก่อการร้ายที่มีฐานอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีพลเรือนในพาฮาลแกม
แม้ปฏิบัติการจะกินเวลาเพียง 25 นาที แต่ผลกระทบกลับไกลเกินตัว เสียงระเบิดในยามค่ำคืนก่อให้เกิดความตึงเครียดทั้งสองฟากฝั่งของเส้นแบ่งพรมแดนทางทหาร หรือที่เรียกว่า Line of Control (LoC)
อินเดียอ้างว่าการโจมตีครั้งนี้ “มุ่งเป้าเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มก่อการร้าย” โดยไม่ได้กระทบพลเรือนหรือเป้าหมายทางเศรษฐกิจหรือทหารของปากีสถาน แต่ทางการปากีสถานกลับให้ข้อมูลต่างออกไป โดยระบุว่ามีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 31 ราย และบาดเจ็บอีก 57 คน รวมถึงเด็กอายุเพียง 3 ขวบ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ามัสยิดในบางพื้นที่ได้รับความเสียหาย
ในอีกฟากหนึ่ง ปากีสถานอ้างว่าสามารถยิงเครื่องบินของกองทัพอากาศอินเดียตกได้ถึง 5 ลำ และโดรนอีก 1 ลำ โดยระบุว่าเครื่องบินรุ่น Rafale ซึ่งเป็นสินทรัพย์ทางยุทธศาสตร์ที่อินเดียซื้อจากฝรั่งเศส ก็ตกเป็นเป้าหมายเช่นกัน
แม้ยังไม่มีการยืนยันจากอินเดียเกี่ยวกับการสูญเสียดังกล่าว แต่รายงานจาก CNN และภาพถ่ายของซากเครื่องบินที่ตกในหมู่บ้านวูยาน ฝั่งอินเดีย-administered Kashmir ได้ตอกย้ำว่าการปะทะทางอากาศระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นรุนแรงและยาวนานผิดปกติ มีการแลกเปลี่ยนขีปนาวุธกันในระยะไกลถึงกว่า 160 กิโลเมตร โดยนักบินทั้งสองฝ่ายไม่กล้าล่วงล้ำข้ามพรมแดน เนื่องจากบทเรียนจากเหตุการณ์ในปี 2019 ที่อินเดียสูญเสียเครื่องบินและนักบินถูกรัฐบาลปากีสถานนำไปแสดงในสื่อทั่วประเทศอย่างเสียหน้า
ในขณะที่ปี 2019 อินเดียเคยเปิดแถลงข่าว ประกาศชัยชนะ และปลุกกระแสชาตินิยมเต็มรูปแบบ แต่ในปี 2025 นี้ นิวเดลีเลือกที่จะเงียบ ไม่มีคำประกาศ ไม่มีการแถลงจากผู้นำ ไม่มีการเผยแพร่ภาพปฏิบัติการหรือสื่อสารกับประชาชนอย่างเป็นทางการ
นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงชี้ว่า ความเงียบครั้งนี้อาจเป็นกลยุทธ์เพื่อหลีกเลี่ยงแรงเสียดทานจากนานาชาติ และลดโอกาสที่จะเกิดสงครามเต็มรูปแบบ ในขณะเดียวกันก็เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนถึงกลุ่มติดอาวุธว่า อินเดียสามารถเข้าโจมตีได้ “แม้ไม่ต้องส่งเสียง”
ด้านปากีสถาน นายกรัฐมนตรีเชห์บาซ ชารีฟ เรียกการโจมตีว่า “การรุกรานอันโหดเหี้ยมที่ไร้เหตุผล” พร้อมประกาศว่าการกระทำนี้ “จะต้องได้รับการตอบโต้” โดยได้จัดประชุมคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) และออกคำสั่งให้กองทัพเตรียมพร้อมตอบโต้เพื่อปกป้องพลเรือน
ความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานในแคชเมียร์ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ นับตั้งแต่การแบ่งแยกอินเดีย-ปากีสถานในปี 1947 ทั้งสองประเทศได้ทำสงครามกันมาแล้ว 3 ครั้ง และแคชเมียร์คือจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งทุกครั้ง
การที่ทั้งสองชาติถือครองอาวุธนิวเคลียร์ ยิ่งทำให้โลกต้องจับตามอง เพราะแม้จะยังไม่ถึงขั้นสงครามเต็มรูปแบบ แต่ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวก็อาจนำไปสู่หายนะระดับภูมิภาค
เลขาธิการสหประชาชาติ อันโตนิโอ กูเตร์เรส เรียกร้องให้ “ทุกฝ่ายใช้ความอดกลั้นอย่างสูงสุด” ขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐและผู้นำอีกหลายประเทศ รวมถึงสหภาพยุโรป สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จีน ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร ต่างเรียกร้องให้อินเดียและปากีสถานหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางทหารเพิ่มเติม
มัลลาลา ยูซัฟไซ เจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพจากปากีสถาน ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน X (Twitter) ว่า “ความเกลียดชังและความรุนแรงคือศัตรูร่วมกันของเรา ไม่ใช่อีกฝ่ายหนึ่ง” พร้อมเรียกร้องให้ผู้นำของทั้งสองประเทศเร่งคลี่คลายสถานการณ์ และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพลเรือน โดยเฉพาะเด็ก
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 8 พฤษภาคม 2568