"สามประสาน" สกัด "เงินฝืด" รัฐ-แบงก์ชาติต่อท่อแบงก์พาณิชย์
ท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน และแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดที่เริ่มก่อตัวในประเทศ คำถามสำคัญที่ดังกระหึ่มในแวดวงเศรษฐกิจคือ ใครกันแน่คือ "หัวเรือใหญ่" ในการกู้วิกฤติสภาพคล่องและหยุดภาวะเงินฝืด? รัฐบาลผู้ถือ “กระเป๋าเงิน” ของประเทศ? ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผู้คุมนโยบายการเงิน? หรือธนาคารพาณิชย์ ผู้มีบทบาทในการปล่อยสินเชื่อหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจ?ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งสามภาคส่วนมีความสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหานี้ แต่บทบาทและเครื่องมือที่แต่ละฝ่ายมีนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ขณะที่รัฐบาลมีเครื่องมือเป็นนโยบายการคลัง ธปท. ก็มีนโยบายการเงินเป็น “เครื่องมือ” ในการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การปรับ “อัตราดอกเบี้ยนโยบาย” คืออาวุธหลัก หากเศรษฐกิจชะลอตัวและเกิดภาวะเงินฝืด การลดดอกเบี้ยจะลดต้นทุนการกู้ยืม กระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการบริโภค นอกจากนี้ ธปท. ยังสามารถบริหารสภาพคล่องในระบบผ่านการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล และกำหนดอัตราส่วนการดำรงเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์เพื่อเพิ่มหรือลดปริมาณเงินที่ธนาคารสามารถนำไปปล่อยสินเชื่อได้ แม้ว่านโยบายการเงินจะมีประสิทธิภาพในการปรับสมดุลเศรษฐกิจในภาพรวม แต่ผลกระทบอาจต้องใช้เวลา และอาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างได้โดยตรง
ส่วน “ธนาคารพาณิชย์” เปรียบเสมือน “ท่อส่ง” ที่นำสภาพคล่องจากระบบการเงินไปสู่ภาคธุรกิจและครัวเรือน ผ่านการปล่อยสินเชื่ออย่างไรก็ตาม การตัดสินใจปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ขึ้นอยู่กับการประเมินความเสี่ยงและโอกาสทางธุรกิจ หากสภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน หรือความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้สูง ธนาคารพาณิชย์ก็อาจระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ แม้ว่าในระบบจะมีสภาพคล่องเพียงพอดังนั้น การแก้ไขปัญหาสภาพคล่องและภาวะเงินฝืด จึงไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นการทำงานร่วมกันอย่างสอดประสานของทั้งรัฐบาล ธปท.และธนาคารพาณิชย์
การผนึกกำลังและประสานนโยบายระหว่างรัฐบาล ธปท. และธนาคารพาณิชย์อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและการสร้างความเชื่อมั่น จะเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหา เงินฝืด และนำพาเศรษฐกิจไทยกลับสู่เส้นทางการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนได้ในที่สุด หากไม่ร่วมด้วยช่วยกันแก้ไขปล่อยให้ “วิกฤติ” นี้กัดกร่อนเศรษฐกิจต่อไป ย่อมนำมาซึ่งผลกระทบประเทศชาติและประชาชนยากที่จะเยียวยา
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 15 พฤษภาคม 2568