ตลาดเกิดใหม่สดใสวิ่งเข้าภาวะกระทิง รับแรงทิ้งสหรัฐ Sell America
ตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มพุ่งรับภาวะกระทิงรอบใหม่ จากกระแสเทขายสินทรัพย์สหรัฐที่เริ่มชัดเจนขึ้นอีกครั้งหลัง "มูดี้ส์" หั่นเครดิตสหรัฐ ฉุดดอลลาร์ร่วงยาว
ธนาคารแบงก์ออฟอเมริกา (Bank of America) นำโดยนักกลยุทธ์การลงทุน ไมเคิล ฮาร์ทเน็ต เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นใน "กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่" กำลังได้รับความสนใจอีกครั้ง เนื่องจากกระแส "ขายสินทรัพย์สหรัฐ" หรือ Sell America เริ่มมีแรงหนุนอีกครั้ง หลังจากที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ เรทติ้งส์ (Moody's)ปรับลดระดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงจากอันดับสูงสุดเมื่อเร็วๆ นี้
แบงก์ ออฟ อเมริกาเป็นแบงก์รายล่าสุดที่ระบุว่า ตลาดเกิดใหม่จะเป็น "ตลาดกระทิงรายถัดไป" หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อวันจันทร์ ธนาคารเจพีมอร์แกน (JPMorgan) ได้ส่งสัญญาณในทำนองเดียวกัน โดยปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนของหุ้นในตลาดเกิดใหม่จาก neutral เป็น overweight โดยอ้างถึงความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ที่คลี่คลายลง และแวลูเอชันที่น่าดึงดูด
“ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งสูงสุด เศรษฐกิจจีนฟื้นตัว...ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าหุ้นตลาดเกิดใหม่” ทีมงานของแบงก์ออฟอเมริการะบุในบันทึกถึงนักลงทุน
ความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐที่ลดลงซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนที่แล้ว โดยมีแรงเทขายในพันธบัตรสหรัฐ หุ้น และเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ตลาดเกิดใหม่มีทิศทางขาขึ้น
ดัชนี MSCI Emerging Markets ซึ่งติดตามหุ้นขนาดใหญ่ และขนาดกลางใน 24 ประเทศตลาดเกิดใหม่ เพิ่มขึ้น 8.55% ในปีนี้ เมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 ของสหรัฐ ที่พุ่งขึ้น 1% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ความแตกต่างยิ่งชัดเจนมากขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ถัดมาหลังจากวันที่ 2 เมษายน ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้กับทั้งมิตร และศัตรู
แม้ว่าดัชนีอ้างอิงส่วนใหญ่มักจะร่วงลงถ้วนหน้าทั้งโลกในช่วงไม่กี่วันหลังวันที่ 2 เมษายน แต่สัปดาห์ต่อมากลับแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างหุ้นในตลาดเกิดใหม่ และหุ้นสหรัฐ ระหว่างวันที่ 9- 21 เมษายน ดัชนี S&P 500 ลดลงมากกว่า 5% ในขณะที่ดัชนี MSCI Emerging Markets เพิ่มขึ้น 7%
แม้ว่าตลาดหุ้น และพันธบัตรสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยตั้งแต่นั้นมา แต่ปัจจัยเรื่องการปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐล่าสุดโดย Moody's ได้จุดชนวนความกังวลของนักลงทุนอีกครั้ง
เมื่อวันจันทร์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 30 ปีได้พุ่งขึ้นเหนือ 5% จนแตะระดับสูงสุดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2023 ขณะที่หุ้นสหรัฐก็หยุดการปิดบวกติดต่อกัน 6 วันทำการ ในวันอังคารเช่นกัน
จุดเริ่มการปรับน้ำหนักใหม่? :
มัลคอล์ม ดอร์สัน หัวหน้าทีมการลงทุนเชิงรุกจาก Global X ETFs กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงไม่นานมานี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการเปิดรับความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลายมากขึ้น
“หลังจากที่เคยทำผลงานต่ำกว่าดัชนี S&P ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตอนนี้หุ้น EM กำลังอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนใคร และจะทำผลงานได้ดีกว่าในรอบถัดไป” ดอร์สัน กล่าว
“มหาพายุ Perfect storm ที่อาจเกิดขึ้นนี้ เกิดจากดอลลาร์สหรัฐที่อาจอ่อนค่าลง นักลงทุนที่ถือสถานะกันต่ำมาก และแวลูเอชันที่ต่ำสวนทางกับการเติบโตที่ขยายตัวขึ้น”
ตามข้อมูลของดอร์สันในแง่ของสถานะซื้อขาย นักลงทุนในสหรัฐจำนวนมากถือหุ้นในตลาดเกิดใหม่เพียง 3 - 5% เมื่อเทียบกับ 10.5% ใน MSCI Global Index ซึ่งรวบรวมผลงานของบริษัทขนาดใหญ่ และขนาดกลางในตลาดพัฒนาแล้ว 23 แห่ง
ขณะที่สถิติของเจพีมอร์แกนแสดงให้เห็นว่า ตลาดเกิดใหม่ยังซื้อขายกันที่ P/E 12 เท่า และมีราคาถูกกว่าปกติเมื่อเทียบกับตลาดประเทศพัฒนาแล้ว
ในบรรดาตลาดเกิดใหม่ ดอร์สันเชื่อว่า "อินเดีย" มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาวที่ดีที่สุด ส่วนอาร์เจนตินาเด่นเรื่องแวลูเอชันที่ถูก นอกจากนี้ บางประเทศที่ได้รับการปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้น เช่น กรีซ และบราซิล ก็ยังน่าดึงดูดมากขึ้นเช่นกัน
โอลา เอล-ชาวาร์บี ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของ VanEck กล่าวว่า ดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ซึ่งได้รับแรงกดดันจากความกังวลด้านการคลัง และหนี้ที่เพิ่มขึ้น มักสนับสนุนการไหลของตลาดเกิดใหม่ และเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 22 พฤษภาคม 2568