เวียดนามเร่งถกสหรัฐฯ หวั่นภาษี 46% ฉุดส่งออก งัดหมัดเด็ดดึงทุนมะกัน
เวียดนามเร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ หวังหลีกเลี่ยงภาษี 46% ส่งทีมหารือรอบใหม่มิถุนายนนี้ นายกฯ ชี้โครงการ Trump Organization สะท้อนความเชื่อมั่นลงทุน
เวียดนามประกาศความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมในการเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา หลังการหารือรอบที่สองที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งใช้เวลารวมสามวัน โดยทั้งสองฝ่ายสามารถระบุประเด็นที่มีแนวโน้มเห็นพ้องร่วมกัน รวมถึงประเด็นที่ยังจำเป็นต้องมีการหารือต่อเพื่อหาทางออกที่ลงตัว ทั้งนี้ ทั้งสองประเทศได้ตกลงจะเดินหน้าเจรจาในรอบต่อไปช่วงต้นเดือนมิถุนายน โดยมีการจัดตั้งทีมเทคนิคเพื่อสานต่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลในรายละเอียด หวังบรรลุข้อตกลงที่สอดคล้องกับเงื่อนไขและความคาดหวังของทั้งสองฝ่ายโดยเร็วที่สุด
เวียดนามเดินหน้าทูตพาณิชย์เชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แรงกดดันจากภาษีการค้าตอบโต้ที่สหรัฐฯ ขู่จะใช้กับเวียดนามในอัตราสูงถึง 46% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงที่สุดในบรรดาประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ โดยปัจจุบันภาษีดังกล่าวถูกชะลอการบังคับใช้ไว้เป็นเวลา 90 วันจนถึงเดือนกรกฎาคม เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายมีเวลาหารือและหาทางออกร่วมกัน
เวียดนามถือเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เป็นหลัก และในช่วงหลังต้องเผชิญแรงกดดันจากความไม่สมดุลทางการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งเวียดนามมียอดเกินดุลการค้าอยู่ในอันดับ 3 ของโลก รองจากจีนและเม็กซิโก รัฐบาลเวียดนามจึงเร่งดำเนินมาตรการหลายด้านเพื่อบรรเทาความกังวลของสหรัฐฯ ทั้งการเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ และเสนอจะยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ทุกรายการ
ตลอดจนเร่งปราบปรามการโกงทางการค้า โดยเฉพาะกรณีการใช้เวียดนามเป็นช่องทางลัดเพื่อส่งสินค้าจีนเข้าสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
นอกเหนือจากเวทีเจรจาทางการค้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม เหงียน หง ดิเยียน ยังได้ใช้โอกาสที่อยู่ในสหรัฐฯ พบปะกับบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกา อาทิ Excelerate Energy, Lockheed Martin, SpaceX และ Google เพื่อเชิญชวนให้ขยายการลงทุนและดำเนินธุรกิจในเวียดนาม
ในอีกด้านหนึ่งของเวทีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ นายกรัฐมนตรีฝ่าม มิงห์ จิ๋ง ของเวียดนาม ได้ร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างรีสอร์ตสนามกอล์ฟหรู มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ของ Trump Organization ในจังหวัดฮึงเอียน ซึ่งมีอีริค ทรัมป์ บุตรชายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าร่วมงานด้วย โดยผู้นำเวียดนามแสดงความหวังว่าทรัมป์จะเดินทางเยือนเวียดนามในอนาคต พร้อมกล่าวว่าโครงการดังกล่าวถือเป็นสัญลักษณ์ที่ตอกย้ำความไว้วางใจของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อเศรษฐกิจเวียดนาม
การทูตเชิงรุกของเวียดนามในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการรักษาความสัมพันธ์เชิงบวกกับสหรัฐฯ ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้า โดยหวังว่าความร่วมมืออย่างใกล้ชิดและการเจรจาอย่างตรงไปตรงมาจะช่วยคลี่คลายข้อพิพาท พร้อมเปิดประตูสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 23 พฤษภาคม 2568