ร้ายแรงแค่ไหน เมื่อ "สหรัฐ" ถูกหั่นเครดิต
ในที่สุด มูดีส์ (Moody’s) ก็ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของสหรัฐลงจาก AAA เป็น AA1 โดยระบุว่า แม้เศรษฐกิจและสถานะทางการเงินโดยรวมของสหรัฐ ยังคงแข็งแกร่ง แต่ไม่สามารถชดเชยการเสื่อมถอยของตัวชี้วัดด้านการคลังได้ โดยเฉพาะปัญหาการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มูดีส์ถือเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือแห่งสุดท้ายจาก 3 แห่ง ที่ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของอเมริกาลงจากอันดับสูงสุด ขณะที่เอสแอนด์พี โกลบอล เรตติงส์ (S&P Global Rating) เป็นสถาบันจัดอันดับเครดิตแห่งแรกที่ปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐลงจากระดับ AAA เหลือ AA+ ในปี 2011 และฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Rating) ที่ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงหนึ่งอันดับเป็น AA+ ในเดือนสิงหาคม 2023
การลดอันดับเครดิตส่งผลกระทบต่อสหรัฐอย่างมาก ในฐานะเจ้าของพันธบัตรที่เป็นทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของทั้งโลก อย่างไรก็ตาม บรรดาธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐกลับไม่แสดงความกังวลมากนัก
เจพี มอร์แกน วิเคราะห์ว่า การปรับลดเครดิตของมูดีส์ เป็นเรื่องที่พอจะคาดเดาได้ และตลาดคงไม่ผันผวนมากเท่าตอนทรัมป์ประกาศภาษีแบบตอบโต้ในเดือนเมษายน ขณะที่ “แบงก์ ออฟ อเมริกา” มองว่า บอนด์ยีลด์สหรัฐจะพุ่งขึ้นในระยะสั้น แต่ไม่มีอะไรน่ากังวล เพราะดัชนีตราสารหนี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งเครดิตสูงถึงระดับ AAA รวมถึงยูบีเอสวิเคราะห์ว่า ไม่มีอะไรน่าตกใจ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสนใจเรื่องอัตราภาษีมากกว่า
แม้ตลาดหุ้นจะไม่ผันผวนมาก แต่การปรับลดเรตติ้งก็ทำให้ บอนด์ยีลด์พันธบัตรสหรัฐ ระยะ 30 ปี พุ่งแตะระดับ 5% ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการกู้ยืม ที่จะเพิ่มสูงขึ้นต่อทั้งภาครัฐและภาคประชาชน เพราะสินเชื่อทุกชนิดจะแพงขึ้น ไม่ว่าจะบัตรเครดิตหรือดอกเบี้ยบ้านก็ตาม ดังนั้น ชาวอเมริกันที่กำลังทนทุกข์กับดอกเบี้ยที่สูง จะต้องประสบกับความยากลำบากต่อไป และสถานการณ์ไม่อาจคลี่คลายได้เร็ว ๆ นี้
หนี้สาธารณะยังคงเป็นประเด็นสำคัญต่อปัญหาดังกล่าว โดยสำนักงบประมาณแห่งสภาคองเกรส (CBO) พบว่า พรรครีพับลิกันกำลังพยายามจะผ่านร่างกฎหมายเพื่อลดภาษีคนในประเทศ ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก จากที่สูงอยู่แล้ว 36.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 120% ของจีดีพี
เศรษฐกิจสหรัฐอาจเสี่ยงเกิดภาวะชะลอตัว เมื่อต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น ภาคเอกชนอาจไม่กล้าขยายกิจการ หรือจ้างงานเพิ่ม หากอัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงต่อไป โดยเฉพาะภาคเอกชนขนาดเล็กที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ด้วยเงินทุนที่ไม่มากพอ
ไม่เพียงเท่านั้น หากรัฐบาลสหรัฐยังคงก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นต่อไป ด้วยต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น สหรัฐจะยิ่งมีภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายมากขึ้น วนต่อไปเรื่อย ๆ เหมือนงูกินหาง การใช้จ่ายภาครัฐต่อจากนี้จะไร้ความยั่งยืน
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า แท้จริงแล้ว สหรัฐก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสูงมาตลอดทศวรรษที่ผ่านมา แต่การปรับลดเรตติ้งของมูดีส์อาจเกิดขึ้นเพื่อเตือนสติให้สหรัฐต้องรีบตื่นจากภวังค์
นักวิเคราะห์จากธนาคารดอยช์แบงก์ บันทึกว่า หนี้สาธารณะของสหรัฐเป็นที่รับรู้กันดีในตลาดการเงินว่าปราศจากความยั่งยืน และถึงที่สุดแล้วจะต้องเกิดภาวะวิกฤตอย่างไม่อาจแก้ไขได้ ซึ่งคำถามตลอดช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่ว่า จะเกิดขึ้นเมื่อไรเท่านั้นเอง
ต่อให้ปัญหายังไม่เกิดขึ้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่า ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลสหรัฐจะต้องหันมาจริงจังกับการทบทวนเปลี่ยนแปลงแนวทางนโยบายในปัจจุบัน และการปฏิรูปการคลังอย่างเร่งด่วน เนื่องจากผู้คนจะไม่ต้องการถือครองพันธบัตรจากสหรัฐอีกต่อไป หากทุกอย่างสายเกินแก้ สหรัฐอาจไม่เสียเพียงแค่อันดับเรตติ้งเท่านั้น แต่อาจเสียอันดับความเป็นผู้นำโลกอีกด้วย
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 25 พฤษภาคม 2568