ไทยตั้งเป้าส่งออกจีนเพิ่ม 1 หมื่นล้าน ท่ามกลางความท้าทายเทรดวอร์
กางแผนการค้า-การส่งออกของไทย ช่วงที่เหลือของปี 2568 พาณิชย์ ตั้งเป้าหมายส่งออกไปจีนโต 1% เพิ่มขึ้นอีก 1 หมื่นล้านบาท ท่ามกลางความท้าทายสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ส่งผลกระทบโดยตรงมายังหลายประเทศ ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่หนีไม่พ้นภาวะเช่นนี้
ล่าสุด เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้จัดการประชุมสำคัญระดับชาติ โดยนัดประชุมผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก อัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ (สคต.) และพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เข้าร่วมกว่า 200 ราย
ทั้งนี้เพื่อมอบนโยบายการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปี 2568 พร้อมทั้งอัพเดทสถานการณ์ตลาดการค้าในหลักของประเทศไทยทั่วโลก โดยเฉพาะ "ตลาดประเทศจีน" ซึ่งถือเป็นเสาหลักสำคัญของการส่งออกไทย
โดยในวงประชุมครั้งนี้ สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ (สคต.) ทั้ง 7 แห่งของประเทศจีน ได้รายงานภาพรวมการค้าต่อที่ประชุมว่า ตลาดจีนยังคงถือเป็นตลาดการค้าสำคัญของประเทศไทย แม้ว่าจะมีความท้าทายจากสถานการณ์การค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ
ตั้งเป้าหมายส่งออกจีน โต 1% :
สำหรับปี 2568 นี้ สคต. ได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกไว้ที่ขยายตัว 1% หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งแม้จะดูเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมาก แต่เป็นเป้าหมายที่สมจริงและสะท้อนถึงความระมัดระวังในการประเมินสถานการณ์
ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ของ สคต. ชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของจีนในปัจจุบันต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงอยู่ 2 ด้านหลัก คือ ปัจจัยภายในประเทศและปัจจัยภายนอกประเทศ ดังนี้
ปัจจัยภายในประเทศ :
มีปัญหาใหญ่คือ เศรษฐกิจจีนอยู่ในภาวะชะลอตัวจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ประกอบกับปัญหาหนี้ภาครัฐที่เพิ่มสูงขึ้น การว่างงานภายในประเทศที่เป็นปัญหาเรื้อรัง และประชากรสูงวัยที่เริ่มกลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา
ปัจจัยภายนอกประเทศ :
ที่สำคัญที่สุดคือ สงครามการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงนับจากนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้าและมาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อการไหลเวียนของสินค้าและการลงทุนในภูมิภาค
ทั้งนี้เพื่อรองรับกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น รัฐบาลจีนกำลังพยายามเดินหน้าสร้างแรงขับเคลื่อนจากเศรษฐกิจภายในเป็นหลัก โดยเน้นการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ ควบคู่กับการกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศที่เริ่มฟื้นตัวหลังจากช่วงโควิด-19 พร้อมทั้งพยายามปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในเพื่อรองรับปัจจัยภายนอกประเทศควบคู่กันไป
การเปลี่ยนแปลงนี้เปิดโอกาสใหม่สำหรับผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคจีนที่เปลี่ยนแปลงไป
เปิดแผนดัน 4 ยุทธศาสตร์เจาะจีน :
นายสกรรจ์ แสนโสภา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเซี่ยงไฮ้ เปิดเผยว่า ในการขับเคลื่อนการค้าของไทยในตลาดจีน ล่าสุดได้เสนอแผนการดำเนินงานในที่ประชุมว่าจะเร่งผลักดัน 4 เรื่องสำคัญ ได้แก่
(1)การส่งเสริมตลาดผลไม้ไทย โดยเฉพาะทุเรียน
ตั้งเป้าหมายผลักดันยอดขายทุเรียนเพิ่มขึ้น 8% หรือคิดเป็นปริมาณ 9 แสนตัน เพิ่มจากปีก่อนที่มี 8.3 แสนตัน โดยมาจากทุเรียนภาคตะวันออก 5.22 แสนตัน และทุเรียนภาคใต้อีก 3.5 แสนตัน
กลยุทธ์สำคัญรวมถึงการเจรจากับด่านและตลาดผลไม้ ควบคู่ไปกับการปรับปรุงมาตรฐานการตรวจสาร BY2 เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของจีน การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายทั้งตลาดเก่าและใหม่ รวมทั้งการเชิญผู้บริหารระดับสูงเดินทางไปเยือนจีนเพื่อส่งเสริมการค้า
ความคืบหน้าล่าสุด ในช่วงต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ ได้เดินทางเยือนจีน ทำให้ห้างสรรพสินค้า Hema ในเซี่ยงไฮ้ แสดงความสนใจนำเข้าลองกอง และตลาดฮุยจ่าน ซึ่งเป็นตลาดผลไม้ขนาดใหญ่อันดับต้นของจีน ได้แจ้งความประสงค์นำ 17 บริษัท มาเจรจาจับคู่เจรจาธุรกิจกับผู้ส่งออกไทยในปีหน้าด้วย
(2)ขยายสินค้าไทยและส่งเสริมผู้ประกอบการเข้างานแสดงสินค้า
แผนการขยายตลาดครอบคลุมเมืองที่มีศักยภาพทั้งหมด 8 มณฑล โดยมีเป้าหมายให้ผู้ประกอบการไทยรวม 500 บริษัท เข้าร่วมงานแสดงสินค้าต่างๆ พร้อมกับเน้นการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าร่วมงานแสดงสินค้าสำคัญของจีน เพื่อสร้างเครือข่ายทางธุรกิจและเรียนรู้แนวโน้มตลาด
(3)การส่งเสริม Soft Power สินค้าและบริการ
การผลักดันสินค้าและบริการไทยที่มีเอกลักษณ์และความโดดเด่นในกลุ่มแฟชั่นไลฟ์สไตล์ ธุรกิจบันเทิง เกม สุขภาพ ความงาม อาหาร และมวยไทย เข้าสู่ตลาดจีน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Soft Power ของรัฐบาลไทยที่ต้องการยกระดับภาพลักษณ์และความนิยมในวัฒนธรรมไทย
(4)การส่งเสริมการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์
การใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อย่าง Tmall และแพลตฟอร์มอื่นๆ พร้อมทั้งจัดกิจกรรมคู่ขนานไปควบคู่กัน เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคจีนที่หันมาซื้อของออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองชั้น 2 และ 3 ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของการดำเนินการทั้งหมดให้ประสบผลสำเร็จ สิ่งสำคัญคือการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและหาทางปรับตัวเมื่อเกิดปัญหาขึ้น รวมถึงการสร้างความเข้าใจกับผู้ประกอบการไทยเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของตลาดจีน รวมทั้งการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากประเทศคู่แข่งในภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค และความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก นับเป็นความท้าทายที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือล่วงหน้า
แม้ตลาดจีนจะเผชิญกับความท้าทายหลายประการ แต่ยังคงเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และมีศักยภาพสำหรับสินค้าไทย การวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและการปรับตัวอย่างรวดเร็วจะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะทำให้การส่งเสริมการค้าในตลาดหลักอย่างจีนสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1% ในปี 2568 ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอนาคต
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 28 พฤษภาคม 2568