ไทยตั้งเป้าส่งออกสหรัฐฯ โต 3% ฝ่าวิกฤตภาษี-เศรษฐกิจผันผวน
จับตาตลาดสหรัฐฯ หลังส่งออกโต 25% กางแผนดันเป้าส่งออกไทยไปสหรัฐฯ โต 3% แม้เจอแรงกดดันจากภาษี-ภูมิรัฐศาสตร์ ลุยกิจกรรมส่งเสริมการค้าเชิงรุก
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการปฏิบัติงานแก่ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก อัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ (สคต.) และพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เข้าร่วมกว่า 200 ราย
ทั้งนี้ ได้มีการมอบนโยบายเพื่อดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 พร้อมทั้งอัพเดทสถานการณ์ตลาดการค้าในหลักของประเทศไทยทั่วโลก โดยเฉพาะ "ตลาดสหรัฐ" ซึ่งถือว่าเป็นตลาดสำคัญและตลาดหลักของไทยในการส่งออก
ในการประชุม สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ (สคต.) ทั้ง 4 แห่งของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รายงานภาพรวมการค้าต่อที่ประชุมว่า จากสถิติการส่งออกในสหรัฐฯ ช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ สหรัฐอเมริกา ขยายตัว 25% จากความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายภาษี โดยทางสคต. 4 แห่งได้ขอตั้งเป้าส่งออกไว้ที่ 3% โดยมีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ
ปัจจัยบวกต่อการส่งออกไทย :
* การชะลอการจัดเก็บภาษีตอบโต้ออกไป 90 วัน ส่งผลให้คาดการณ์ เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น โดยบริษัท Goldman Sachs ปรับการคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงถดถอยน้อยลง สู่ระดับ 35% ส่วน JPMorgan คาดการณ์เหลือต่ำกว่า 50% และปรับเพิ่มคาดว่า GDP ของสหรัฐฯ จะเติบโต 0.6% ในปี 2025 เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 0.2%
โดยผู้นำเข้ามีความคลายกังวลเล็กน้อย เนื่องจากยังมีเวลาในการวางแผนทั้งการสั่งสินค้าเพื่อสต๊อกในช่วง 90 วันเพิ่ม และการร่วมวางแผนการ share ต้นทุนภาษี 10% ที่เพิ่มขึ้น
* นโยบายการลดหย่อนภาษีรายได้บุคคลและนิติบุคคล ซึ่งผู้บริโภคและผู้ประกอบการรอคอย ขณะนี้ ร่างกฎหมายที่มีชื่อว่า “One Big Beautiful Bill Act” ได้ผ่านการรับรองจาก สภาผู้แทนราษฎร แล้วเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2025 และกำลังอยู่ในขั้นตอนการ พิจารณาโดยวุฒิสภา ซึ่งหากนโยบายนี้นำไปใช้จริงจะส่งผลดีต่อกำลังการซื้อของผู้บริโภคและต่อสภาพคล่องทางธุรกิจ และดีกับการส่งออกไทย
* ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิภาคทะเลจีนใต้ ซึ่งนับเป็นจุดแข็งและปัจจัยบวกของไทยต่อสหรัฐ อรกทั้งไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิภาคทะเลจีนใต้ ในเหตุผลหลายด้าน ทั้งในเชิง ภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และ ความมั่นคงทางทหาร
* ไทยมีจุดแข็งเป็นฐานการผลิตหลักในอาเซียน อุตสาหกรรมในประเทศสหรัฐฯ ปัจจุบันยังไม่พร้อมที่จะผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ และ ไทยมีจุดแข็งเป็นฐานการผลิตหลักในอาเซียน
โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ และชิ้นส่วนอุปกรณ์ และเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูปที่สำคัญของโลกด้วย
ปัจจัยลบต่อการส่งออก :
ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า แม้จะะมีการเร่งสั่งซื้อหลังมีคำสั่งเรื่องภาษีออกมา จน(GDP) ไตรมาส 1/2025 จากรายงานของสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐฯ (BEA) หดตัว 0.3% ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ทำให้ผู้นำเข้ามีแนวโน้มจะชะลอการนำเข้าเพื่อรอดูผลการเจรจาภาษีต่างตอบแทน และหลายบริษัทในสหรัฐชะลอการลงทุน
สัญญาณว่าความต้องการของผู้บริโภคเริ่มอ่อนแรง ยอดขายที่ร้านค้าปลีกในสหรัฐฯ ชะลอตัวลงอย่างมากในเดือนเมษายน โดยเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% หลังจากที่พุ่งขึ้นถึง 1.7% ในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้บริโภคเร่งจับจ่ายเพื่อหนีภาษีศุลกากรที่เข้มงวดของ
ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ พบว่าภาษีนำเข้าทั้งหมดในปี 2025 ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 2.3% ในระยะสั้น และจะเพิ่มภาระต่อครัวเรือนเฉลี่ย ประมาณ 1,200-2,000 ดอลลาร์ ในปี 2025
ปัญหาค่าธรรมเนียมใหม่สำหรับเรือขนส่งสินค้าที่เกี่ยวกับจีน ทั้งเรือที่สร้างและเป็นเจ้าของโดยจีน และเรือที่สร้างในจีนแต่เป็นเจ้าของโดยบริษัทที่ไม่ใช่ของจีน โดยจะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2025
อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวอาจค่าธรรมเนียมใหม่จะมีผลบังคับใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้น และอาจกระทบต่อราคาสินค้าในตลาดสหรัฐฯ ในระยะยาว
มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barrier) ของสหรัฐฯ อาทิ การเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด และการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าไทย สหรัฐฯ ยังคงจับตามองไทยเกี่ยวกับสถานการณ์การค้ามนุษย์ อย่างใกล้ชิดต่อประเด็นการใช้แรงงานผิดกฎหมาย ประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ เรื่องชาวอุยกูร์ รวมทั้ง โอกาสในการได้รับการต่ออายุโครงการ GSP ของสหรัฐฯ ที่ยังอยู่ในระหว่างกระบวนการพิจารณา
ภาวะสงครามและปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ประกอบการและนักลงทุนในสหรัฐฯ และอาจจะตัดสินใจชะลอการดำเนินแผนขยายกิจการหรือการลงทุนเพิ่มเติม
ดร.เกษสุรีย์ วิจารณกรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก เปิดเผยว่า แผนผลักดันในการขับเคลื่อนการค้าของไทยในตลาดสหรัฐฯ ล่าสุดได้เสนอแผนการดำเนินงานในที่ประชุมว่าจะเร่งผลักดัน 4 เรื่องสำคัญ ได้แก่
(1)แทรกซึม Soft Power อาหาร และยกระดับความนิยมสู่กลุ่มผู้บริโภคระดับบน
ระดมใช้ Influencers กว่า 100 รายทั่วภูมิภาค การประชาสัมพันธ์อาหารไทยและร้านอาหาร Thai Select เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันเกิดประสบการณ์การรับรู้ผ่านการจัดทำ content ได้รับ impression ว่า 20 ล้านครั้ง
เริ่มการนำเสนออาหารไทยผ่านร้านอาหาร Thai Select ในงาน Festival ใหม่ๆ อาทิ ปีนี้การจัด Thai Select Festival ที่ Oculus ในใจกลางเมืองนิวยอร์ก การเข้าร่วมงาน LA Food Bowl ซึ่งเป็นงานที่รวบรวมเชฟชื่อดัง รวมทั้ง ในแคนาดาที่งาน Thai Street Food Festival ที่เมือง Ottawa
ร่วมกับสถาบันสอนทำอาหาร ร่วมโครงการข้าวกับ Institute of Culinary Education (ICE) ให้เชฟที่มีชื่อเสียงที่มีความรู้ด้านอาหารตะวันตกและอาหารไทย ไปนำเสนอความหลากหลายของข้าวและวัตถุดิบอาหารของไทย ไปประยุกต์ใช้กับอาหารตะวันตก เพื่อให้เชฟอาหารไทยนำวัตถุดิบของไทยและข้าวติดตัวไปเมื่อเรียนจบ รวมทั้ง ยังมีการจัดกิจกรรมกับกลุ่ม Hispanics อีกด้วย
จัด Event เพื่อประชาสัมพันธ์ร้านอาหาร Thai Select โดยเชิญนักวิจารณ์อาหาร Michelin NY times และสื่อต่างๆ ที่มีชื่อเสียงในวงการอาหารเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อยกระดับร้านอาหารไทยตามนโยบาย Thai Select ใหม่
การผลักดันสินค้าอาหารไทยและเครื่องดื่มไทยผ่านร้านอาหาร Thai SELECT ด้วยไทยมีศักยภาพด้านอาหารและเครื่องดื่มประกอบกับร้านอาหาร Thai SELECT มีจำนวนกว่า 400 แห่ง ทั่วประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่มีบทบาทเสมือนกองทัพมดที่เป็นฟันเฟืองที่ช่วยขับเคลื่อนภาคการส่งออกสินค้าอาหารและเครื่องดื่มของไทย ผ่านการจัดกิจกรรม แคมเปญ Thai SELECT Restaurant Week
ส่งเสริมการขายสินค้าอาหารไทยที่จะเป็นส่วนประกอบในการทำอาหารไทย ผ่านกิจกรรม In-store Promotion โดยจะส่งเสริมการขายสินค้าอาหารไทยในห้างสรรพสินค้า Mainstream (ห้าง Sam’s Club) และ Asian Supermarket ในภูมิภาคกว่า 80 สาขา ใน LA ไมอามี ชิคาโก และแคนาดา
เข้าร่วมงานแสดงสินค้าอาหารที่สำคัญในพื้นที่ได้แก่ งาน Summer Fancy Food งาน American Food and Beverage Show งาน National Restaurant Show (NRA) งาน PLMA Private Label และงาน SIAL Canada
Online ส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าอาหารไทยผ่านช่องทางออนไลน์ในตลาดสหรัฐอเมริกาผ่านร้าน TOPTHAI บนแพลตฟอร์ม Amazon และขายบนแพลตฟอร์ม Mercado Libre ในอาร์เจนตินา
(2)สร้างการรับรู้สินค้าและบริการของไทยผ่าน Soft Power: Film และ Fighting เป็นกิจกรรมใหม่ตามนโยบาย Soft Power
จากเดิมที่เรามีการส่งเสริมภาพยนตร์ไทย โดยมีการจัดกิจกรรม Business Matching ภาพยนตร์ไทยในงาน American Film Market เพื่อขายภาพยนต์และสถานที่ถ่ายทำแบบครบวงจร
โดยปีนี้จะเริ่มการจัดกิจกรรมภาพยนตร์ Series Y มวย ดนตรี: โดยนำ Soft Power ของไทยในรูปแบบวัฒนธรรมร่วมสมัย เช่น ซีรีส์ Y ภาพยนตร์ รวมทั้ง ดนตรีไทย มาบูรณาการเข้ากับการส่งเสริมการค้า เนื่องจาก Series Y ไทยมีชื่อเสียงมากในภูมิภาคอเมริกาใต้และได้รับกระแสตอบรับที่ดีในสหรัฐอเมริกา
ซึ่งจะมีการผนวกผลิตภัณฑ์ Thai Select และร้านอาหาร Thai Select ไปกับการโปรโมท Series Y ของไทยเพื่อให้ผลิตภัณฑ์และร้านอาหาร Thai Select เป็นที่รู้จักและมีความต้องการมากขึ้น
Fighting นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมมวยไทย ดนตรีไทย ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ โดยในการจัดกิจกรรมทั้งหมดจะสอดแทรกการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์สินค้าไทยต่างๆ เข้าไปด้วย
(3)ผลักดันการสร้างแบรนด์แฟชั่นไทยสู่เวทีสากลผ่านการถ่ายทอดวัฒนธรรมร่วมสมัย Soft Power: Fashion สินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์: มุ่งเน้นส่งเสริมแบรนด์ไทยในตลาดระดับโลก ด้วยการยกระดับคุณค่า ความเป็นมืออาชีพ และอัตลักษณ์แฟชั่นไทย ให้เทียบเคียงกับแบรนด์นานาชาติบนเวทีแฟชั่นโลก
จัดกิจกรรมส่งเสริมนักออกแบบไทยในการเข้าร่วมใน Official New York Fashion Week เพื่อยกระดับการรับรู้ของสินค้าแฟชั่นไทย ซึ่งได้ลงในสื่อใหญ่ๆ กว่า 20 สื่อในสหรัฐฯ อาทิ หนังสือพิมพ์ USA TODAY, หนังสือพิมพ์ New York Post นิตยสาร Woman’s Wear Daily (WWD) และลงในสื่อไทย เช่น Vogue Thailand และ Elle Thailand
ทั้งนี้ เพื่อต่อยอดการรับรู้ จะมีการขายสินค้าไทยใน platform online และหน้าร้านที่ Pop-up Store ย่าน Soho นิวยอร์ก
ส่งเสริมให้นักออกแบบไทยเข้าร่วมงาน COTERIE New York เพื่อส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าในรูปแบบ B2B/B2C
(4)แสวงหาโอกาสขยายตลาดสินค้าอุตสาหกรรมหนักของไทยเพื่อทดแทนผลกระทบจากการขึ้นภาษี
จัด Online Business Matching สินค้าอุตสากรรมหนัก อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องออกกำลังกาย เป็นต้น
การเข้าร่วมงาน AAPEX เพื่อส่งเสริมสินค้าอุตสากรรมหนัก ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น เป็นหน่วยสนับสนุนข้อมูลให้ผู้ประกอบการไทยปรับการดำเนินธุรกิจให้ตรงกับความต้องการของตลาด เพื่อแสวงหาโอกาสของสินค้าไทยจากผลกระทบของนโยบายประธานาธิบดีทรัมป์
นอกจากนี้ กรมฯ ก็มีการเริ่มกิจกรรมใหม่เพื่อตอบรับนโยบายทรัมปื ผ่านการจัด OBM สำหรับผู้นำเข้าในตลาดสหรัฐ ในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ รวมทั้งจะมีการจัด OBM กับผู้นำเข้าสหรัฐหลายสาขา โดยจะเริ่มต้นจากยางล้อรถยนต์ และกรมฯ จะหาโอกาสที่จะมีกิจกรรมเพื่อช่วงชิงโอกาสในสถานการณ์นี้เพิ่มเติมต่อไป
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 29 พฤษภาคม 2568