เกมการค้าโลกพลิก "สหรัฐ" พักยกจับตา "ทรัมป์" ออกนโยบายอื่นแทน
KEY POINTS
* ศาลสหรัฐสั่งระงับภาษีทรัมป์
* “หอการค้า” ไม่มีผลต่อออเดอร์สั่งสินค้า
* สรท. ชี้ ทรัมป์ยื่นอุทธรณ์ อาจลากยาวถึงฏีกา
* ซีไอเอ็มบี ไทย มองคำสั่งศาลห้ามทรัมป์ขึ้นภาษี ปัจจัยบวกระยะสั้น ยังมีความไม่แน่นอนสูง
* กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ชี้ จับตาทรัมป์ออกนโยบายอื่น
เมื่อวันพุธที่ 28 พ.ค.2568 ศาลการค้าระหว่างประเทศในแมนฮัตตัน นิวยอร์ก สหรัฐ มีคำพิพากษาครั้งประวัติศาสตร์ ให้ "ยกเลิกภาษีศุลกากรตอบโต้" (reciprocal tariffs) ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2568 โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การใช้อำนาจหน้าที่เกินขอบเขตของประธานาธิบดี
ภาษีครั้งนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ภาษีพื้นฐานทั่วโลก (Worldwide Tariffs) 10% ที่สหรัฐเรียกเก็บกับทุกประเทศ และภาษีตอบโต้ส่วนที่สูงขึ้น (Retaliatory Tariff) ซึ่งเรียกเก็บกับ 57 ประเทศ/ดินแดนทั่วโลกอัตราต่างกัน เช่น ไทย 36% และเวียดนาม 46% ภาษีพื้นฐานนั้นมีผลบังคับใช้ไปแล้ว ส่วนภาษีที่สูงขึ้นถูกทรัมป์ผ่อนผันให้ 90 วัน ไปจนถึงต้นเดือน ก.ค.
ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ การประกาศใช้ภาษีตอบโต้ใช้อำนาจภายใต้กฎหมาย “IEEPA” หรือ International Emergency Economic Powers Act ซึ่งเป็นกฎหมายปี 1977 ที่ให้ประธานาธิบดีสหรัฐใช้อำนาจควบคุมเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้ “ในยามฉุกเฉิน” โดยดำเนินมาตรการด้านเศรษฐกิจหรือการคว่ำบาตรต่อประเทศต่างๆ ได้ในสถานการณ์ที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ
อย่างไรก็ตามการกำหนดอัตราภาษีศุลกากรและการค้าระหว่างประเทศนั้น เป็นอำนาจ “สภาคองเกรส” (รัฐสภา) ไม่ใช่อำนาจประธานาธิบดี ที่จะลักไก่ข้ามขั้นตอนการโหวตของสภาคองเกรสโดยใช้กฎหมาย IEEPA โดยอ้างภัยฉุกเฉินต่อความมั่นคง
ศาลการค้าระหว่างประเทศมีคำพิพากษา ไม่ให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ใช้มาตรการภาษีศุลกากรดังกล่าว โดยระบุว่ากฎหมาย IEEPA ที่ทรัมป์ใช้อ้างอิงในการประกาศภาษีนั้น “ไม่ได้ให้อำนาจประธานาธิบดีในการกำหนดอัตราภาษีศุลกากรระหว่างประเทศ”
คณะผู้พิพากษา 3 คน ยืนยันอีกครั้งว่า “รัฐสภา” เท่านั้นที่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญในการกำกับดูแลการค้ากับต่างประเทศ ซึ่งซีเอ็นบีซีระบุว่านับเป็นการวิจารณ์อย่างรุนแรงต่อคำกล่าวอ้างของทรัมป์ที่ว่า การขาดดุลการค้าเป็นภาวะฉุกเฉินระดับชาติ
ศาลไม่เพียงแต่มีคำพิพากษาให้ “ยกเลิก” คำสั่งทางภาษีทั้งหมดของทรัมป์ภายใต้กฎหมาย IEEPA “อย่างถาวร” เท่านั้น แต่ยังห้ามรัฐบาลใช้คำสั่งนี้เก็บภาษีต่อไปในอนาคตด้วย ส่วนผู้นำเข้าที่เสียภาษีไปแล้ว หากยังไม่ได้คืนอัตโนมัติ สามารถยื่นขอคืนเป็นกรณีๆ ได้
นอกจากนี้ ผู้พิพากษายังสั่งให้รัฐบาลทรัมป์ออกคำสั่งใหม่โดยสะท้อนถึงคำสั่งห้ามถาวรภายใน 10 วัน
คำพิพากษาในครั้งนี้เป็นผลจากการยื่นฟ้องโดย 13 รัฐที่นำโดยรัฐโอเรกอน และจากธุรกิจขนาดเล็กอีก 5 แห่ง โดยศาลชี้ว่า ไม่มีฐานทางกฎหมาย (legal basis) สำหรับคำสั่งภาษีทั่วโลกและภาษีตอบโต้ของทรัมป์ โดยโจทก์ที่ยื่นฟ้องในครั้งนี้ยังรวมถึงผู้นำเข้าไวน์จากนิวยอร์ก และผู้ผลิตชุดการศึกษาจากเวอร์จิเนีย ซึ่งระบุว่า ภาษีดังกล่าวคุกคามความอยู่รอดทางธุรกิจพวกเขา
ภายหลังคำพิพากษา รัฐบาลทรัมป์ระว่าจะยื่นคำร้องอุทธรณ์และยังตั้งคำถามถึงอำนาจของศาล โดยระบุว่าผู้พิพากษาไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
เปิดรายชื่อภาษีที่ถูกยกเลิก :
ภาษีทรัมป์ที่ถูกยกเลิก คือภาษีศุลกากรที่ถูกประกาศภายใต้กฎหมายอำนาจฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ IEEPA ซึ่งแบ่งได้ 2 ส่วน คือ 1. ภาษีแคนาดา-เม็กซิโก-จีน วันที่ 1 ก.พ.ที่ตอบโต้การลักลอบเข้าเมืองและยาเสพติด และ 2.ภาษีศุลกากรตอบโต้วันที่ 2 เม.ย. โดยมีรายละเอียดดังนี้
วันที่ 1 ก.พ.ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรกับ 3 ประเทศคือ แคนาดาและเม็กซิโก 25% และจีน 10% (เพิ่มในภายหลังอีกรวมเป็น 20%) โดยอ้างว่าปล่อยให้ลักลอบเข้าเมืองและทำให้มียาเฟนทานีลที่เป็นสารเสพติดเข้าประเทศ จึงประกาศลงโทษเก็บภาษีศุลกากร ภายใต้กฎหมายอำนาจฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ IEEPA
ส่วนภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศวันปลดแอก โดยใช้กฎหมายอำนาจฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ IEEPA ประกาศเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กับทั่วโลก (reciprocal tariffs) แบ่งเป็นภาษีพื้นฐาน 10% ที่บังคับใช้ทั่วโลก (Worldwide Tariffs) และภาษีศุลกากรตอบโต้ส่วนที่สูงขึ้นรายประเทศ (Retaliatory Tariffs) เช่น ไทย 36% และเวียดนาม 46%
ภาษีรายเซ็กเตอร์ ‘ไม่ถูกยกเลิก’ :
ทั้งนี้ ไม่ใช่ภาษีทุกรายการของทรัมป์ที่ถูกยกเลิกภายใต้คำสั่งศาลล่าสุด เพราะภาษีรายเซกเตอร์ เช่น ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมอัตรา 25% ที่ประกาศเมื่อวันที่ 11 ก.พ. และภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนอัตรา 25% ที่ประกาศเมื่อวันที่ 26 มี.ค. นั้น เป็นภาษีที่ใช้อำนาจภายใต้มาตรา 232 ของรัฐบัญญัติการขยายการค้าปี 1962 (Trade Expansion Act 1962) ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดีและการตัดสินของศาลในครั้งนี้
รวมทั้งมาตรา 232 เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบัญญัติการขยายการค้าปี 1962 ที่ให้อำนาจกระทรวง หัวหน้าหน่วยงาน และผู้มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องใดๆ ในการร้องขอให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐทำการสอบสวน เพื่อให้มีความมั่นใจในผลกระทบของการนำเข้าสินค้า เฉพาะอย่างที่จะมีต่อความมั่นคงแห่งชาติ โดยทำการปรึกษากับกระทรวงกลาโหมให้เสร็จสิ้นภายใน 270 วัน เพื่อนำเสนอต่อประธานาธิบดี
ปัจจุบันสหรัฐมีการ “บังคับใช้” กฎหมายส่วนนี้ไปแล้ว 2 รายการ คือ เหล็กและอะลูมิเนียม และรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ แต่ยังมีสินค้าอีกหลายรายการที่กำลังอยู่ระหว่างกระบวนการสอบสวนของกระทรวงพาณิชย์ เช่น ทองแดง ชิปและยา
สินค้าในสหรัฐปรับสูงขึ้นอีกครั้ง :
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า การที่ศาลสหรัฐสั่งระงับการขึ้นภาษีของทรัมป์เป็นสัญญาณดีสำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้ ซึ่งการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่เป็นฝ่ายบริหารออกประกาศเก็บภาษีตอบโต้คู่ค้าทั่วประเทศส่งผลกระเทือนต่อการค้าโลกมากไม่เว้นแม้แต่เศรษฐกิจภายสหรัฐ

“ภาษีได้สร้างความตื่นตระหนกให้ผู้บริโภคสหรัฐที่หวั่นเกรงจะส่งผลให้ราคาสินค้าในสหรัฐสูงขึ้น ถือว่าการที่ศาลสหรัฐตัดสินออกมาเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดี อย่างไรก็ตามยังต้องดูความชัดเจนและรายละเอียดของคำสั่งศาลสหรัฐ โดยเฉพาะคำสั่งที่ว่าจะมีผลบังคับใช้ทันทีหรือไม่ อีกทั้งขณะนี้ทรัมป์ กำลังยื่นอุทธรณ์ก็ต้องดูผลการยื่นอุทธรณ์ด้วยทุกอย่างยังไม่ไฟนอล”
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาหอการค้าไทยและนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย กล่าวว่า สินค้าที่สั่งซื้อไว้แล้ว และเตรียมลงเรือ ยังไม่ได้มีผลอะไรในเรื่องของคำสั่งศาลสหรัฐ แต่เราคงต้องรอเรื่อง การอุทธรณ์ว่าสามารถทำได้ไหม ถ้ามีความชัดเจนว่าอุทธรณ์ไม่ได้แล้ว การการค้าโลกจะกลับมาดีขึ้นหลังจากนี้
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอน ที่อาจเกิดขึ้นได้ ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป ส่วนการเก็บภาษี 10 % ที่เริ่มเก็บภาษีน่าจะเก็บตามเดิมที่ประกาศไว้ 10% แต่ก็ต้องติดตามดูว่า คำสั่งศาลที่ให้มีการขอเรียกคืนภาษี ที่ชำระแล้วสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหน เพราะในคำสั่ง มีคำที่บอกว่าเป็นกรณีไป
ส.อ.ท.ชี้สถานการณ์ไม่แน่นอน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า จากกรณีที่ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ มีคำสั่งเบื้องต้นให้ระงับการขึ้นภาษีตามนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมแป์ ส่งผลดีต่อประเทศไทย ทำให้มีการเพิกถอนอัตราภาษีนำเข้าที่ประกาศใช้ไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 จึงช่วยปลดล็อกสถานการณ์ทางการค้าได้
นายเกรียงไกร กล่าวว่า แม้จะมีข่าวดี การตัดสินใจของศาลว่าจะรวดเร็วหรือช้า จะส่งผลต่อความโล่งใจของทุกฝ่าย ซึ่งไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใด ทุกฝ่ายจึงต้องจับตาดูการพิจารณาอย่างใกล้ชิด ซึ่งการเจรจาอาจเป็นไปได้ 2 ทาง คือ เร่งเจรจาให้เร็วขึ้นภายใน 30 วัน หรือ ชะลอการเจรจาเพื่อรอดูท่าทีของศาลก่อน
“สถานการณ์โดยรวมยังคงผันผวนและความไม่แน่นอนนี้ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงจับตาและชะลอการตัดสินใจลงทุน แม้ภาพรวมอาจไม่ดีมากนัก แต่คำสั่งศาลเบื้องต้นนี้ก็ถือเป็นการคลี่คลายทางจิตวิทยาได้ในระดับหนึ่ง”
คาดใช้เวลา 1-3 ปี ถึงศาลฎีกา :
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า แม้ศาลสหรัฐมีคำสั่งระงับการเก็บภาษีตอบโต้แต่เป็นศาลชั้นต้นซึ่งทรัมป์ มีเวลา 30 วันในการยื่นอุทธรณ์ โดยหากศาลรับคำยื่นอุทธรณ์ก็ต้องพิจารณาไต่สวนโดยอาจใช้เวลา 1-3 ปี ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ โดยในระหว่างนี้การเก็บภาษีตอบโต้ของทรัมป์ก็ยังมีผลบังคับใช้
“มี 2 แบบ คือ หากศาลสหรัฐไม่รับคำยื่นอุทธรณ์ของทรัมป์ การเก็บภาษีของทรัมป์ก็ไม่มีต้องยกเลิก แต่หากศาลรับคำอุทธรณ์ก็ต้องต่อสู้ชั้นศาลที่อาจถึงฎีกาได้ โดยระหว่างนี้คำสั่งทรัมป์ยังมีผลและการเลื่อนภาษีตอบโต้ของทรัมป์ที่เลื่อนออกไป 90 วัน จะมีผลบังคับใช้ทันทีวันที่ 9 ก.ค.โดยไทยจะโดนเก็บภาษี 36% หากไม่มีการเจรจา”นายธนากร กล่าว
นายธนากร กล่าวว่า ผู้ส่งออกต้องเจรจาผู้นำเข้าว่าจะสั่งซื้อสินค้าต่อหรือไม่เพราะผู้นำเข้าเป็นผู้เสีภาษีซึ่งระหว่างนี้ยังไม่เสียภาษี แต่หากเลยวันที่ 9 ก.ค.จะโดนเก็บภาษี ดังนั้นต้องเจรจาเพื่อหาจุดสมดุลการเสียภาษีร่วมกันหรือไม่อย่างไร
เบรกภาษีปัจจัยบวกระยะสั้น :
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า แม้ตลาดดีใจจากคำสั่งศาลห้ามทรัมป์ขึ้นภาษี แต่ความไม่แน่นอนยังลากยาว ระยะสั้นๆ แม้เป็นข่าวดีและส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะฟิวเจอร์สของสหรัฐและตลาดในเอเชียดีดตัวขึ้นทันที ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ก็เริ่มฟื้นตัวจากแรงขายก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ความกังวลของนักลงทุนยังไม่จางหาย เพราะภาพรวมยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะความดื้อของผู้นำสหรัฐที่อาจเดินหน้าผลักดันนโยบายภาษีผ่านช่องทางอื่น ๆ ที่ยังเปิดอยู่ ทั้งการใช้สิทธิตามกฎหมายมาตรา 301, 232 หรือแม้กระทั่งผ่านรัฐสภาที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งสองสภา
“วันนี้ตลาดบวกก็จริง แต่ยังไม่ใช่สัญญาณบวกที่ยั่งยืน ตลาดแค่โล่งใจ ไม่ได้โล่งคอ และศาลเบรกแต่ยังไม่เบรค ทรัมป์ยังมีทางเลือกอีกมาก โดยเฉพาะอำนาจของประธานาธิบดีที่เดินเกมได้หลากหลาย และอย่าลืมว่าผู้พิพากษาศาลสูงหลายคนก็ถูกแต่งตั้งโดยทรัมป์เอง”
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์นี้ ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ตลาดทุนยังอยู่ในโหมด Wait & See นักลงทุนโลกยังไม่คลายกังวล ดังนั้นแม้ข่าวระงับภาษีจะส่งแรงบวกต่อดัชนีตลาดหุ้นและสกุลเงินดอลลาร์ แต่แรงซื้อยังไม่กลับสู่ระดับก่อนหน้าที่ทรัมป์ประกาศนโยบายภาษี ซึ่งสะท้อนว่านักลงทุนยังไม่มั่นใจว่านโยบายภาษีจะถูกพับเก็บจริง หรือแค่ถูกพักไว้ชั่วคราว
จับตาทรัมป์ออกนโยบายอื่น :
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ศาลการค้าสหรัฐสั่งยกเลิก Trump Tariffs อย่างเป็นทางการแต่เรื่องนี้ยังไม่จบ เพราะล่าสุดทำเนียบขาวยื่นอุทธรณ์เรียบร้อยแล้ว และอาจจะต้องไปถึงศาลฎีกาก็ได้ ความไม่แน่นอนเลยยังอยู่กับเราอีกสักพักโดยมองว่ามี 3 เลือกของทรัมป์เวลานี้ คือ
(1)ออกคำสั่งภาวะฉุกเฉินใหม่ ที่มีเหตุผลและขอบเขตชัดเจนมากขึ้น แต่ก็ยาก เพราะศาลบอกแล้วว่าต้องบอกว่ามันฉุกเฉินจริงๆ และอำนาจก็ไม่ได้ครอบจักรวาล
(2)ใช้กฎหมายการค้าอื่น เช่น Section 301 หรือ Section 232 ที่มีขั้นตอนรองรับ คล้ายกับที่เคยทะเลาะกับจีนสมัย trade war 1.0 แต่ก็ต้องมีการพิสูจน์ทีละประเทศและอาจจะต้องทำทีละผลิตภัณฑ์
(3)ขออำนาจเพิ่มเติมจากรัฐสภา ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติแต่การเมืองอาจไม่เอื้อ
ดังนั้น มองว่าคำพิพากษานี้เป็นเพียง “เบรกมือฉุกเฉิน” ที่สำคัญต่อการใช้อำนาจฝ่ายบริหารในนโยบายการค้านโยบายการค้าระหว่างประเทศ ไม่ควรเปลี่ยนแปลงตามอารมณ์หรือกลยุทธ์การเมืองในแต่ละช่วงเวลาหากศาลไม่ยับยั้งคำสั่งเหล่านี้อาจเห็นการใช้คำว่า “ภัยคุกคาม” เป็นข้ออ้างเพื่อออกภาษีทุกครั้งที่มีปัญหาทางการทูต
ในมุมของประเทศไทย มองว่าเป็นข่าวดี แม้จะยังไม่มีความชัดเจนด้านภาษีต่างๆ แต่ลดความตึงเครียดจากสถานการณ์นี้ หากไม่ถูกสหรัฐเก็บภาษีที่ 36% อีกต่อๆ ไป โดยอาจหนุนภาพรวมเศรษฐกิจไทยให้ปรับตัวดีขึ้นกว่าที่ประเมินไว้ได้
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 30 พฤษภาคม 2568