สภาอุตฯ ชี้ภาษีทรัมป์ ป่วนส่งออกครึ่งหลัง จี้เร่งหาตลาดใหม่ ลดเสี่ยงติดลบ
เศรษฐกิจ-ส่งออกไทยครึ่งปีหลังน่าห่วง รับแรงกดดันมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐ และตัวเลขภาษีของประเทศคู่แข่งสำคัญทั้งจีน เวียดนาม มาเลย์ อินโดฯ ตัดสินใครได้เปรียบ-เสียเปรียบ สภาอุตฯ จี้ภาครัฐ-เอกชนเร่งหาตลาดใหม่-ยกเครื่องอุตฯลุย “4 GO”
สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เผชิญปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ทั้งจากการค้าระหว่างประเทศและภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐอเมริกา ที่กำลังเป็นตัวแปรสำคัญต่อภาคส่งออกซึ่งถือเป็นฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจไทย ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ กระทบอีกหนึ่งเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้มีการประชุมประเมินภาพรวมเศรษฐกิจ และปรับประมาณการ GDP ปี 2568 ลง โดยกรณีที่สหรัฐอเมริกาจะเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ไทยในอัตรา 10% จะส่งผลให้การส่งออกของไทยขยายตัวได้ 0.3-0.9% และจีดีพีจะขยายตัวที่ 1.4-1.9%
ปัจจุบันไทยถูกเก็บภาษีในอัตราพื้นฐาน (Baseline Tariff) แล้วในอัตรา 10% ส่วนภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) อยู่ในช่วงการชะลอขึ้นภาษีออกไป 90 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในอีกไม่ถึง 40 วันข้างหน้า ซึ่งหากการเจรจาล้มเหลว และสหรัฐ ดำเนินการเก็บภาษีไทยในอัตราเต็ม 36% คาดจะส่งผลให้การส่งออกของไทยติดลบถึง 2% และ GDP อาจลดลงต่ำกว่า 1%
"สถานการณ์มีความผันผวนสูง เนื่องจากข้อกฎหมายในสหรัฐฯ มีการตีความที่แตกต่างกัน ล่าสุดศาลการค้าระหว่างประเทศเคยมีคำสั่งว่าการเก็บภาษีดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตของประธานาธิบดี แต่ภายหลังได้มีการอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์กลางได้มีคำสั่งในเบื้องต้นให้สามารถดำเนินมาตรการได้ตามเดิม ซึ่งยังต้องติดตามผลเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯอย่างใกล้ชิด" นายเกรียงไกร กล่าว
ขณะเดียวกัน กกร. ยังเตรียมเปรียบเทียบผลการเจรจาเรื่องภาษีของประเทศคู่แข่งในภูมิภาคกับสหรัฐ เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เพื่อประเมินแต้มต่อหรือเสียเปรียบในเวทีการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงจากที่สหรัฐและจีนได้บรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่างกันเป็นการชั่วคราว โดยสหรัฐได้ลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนจาก 145% ลงเหลือ 30% และจีนลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐจาก 125% เหลือ 10% เป็นระยะเวลา 90 วัน ซึ่งต้องรอดูว่าเมื่อครบกำหนด 90 วันในเดือนสิงหาคมแล้วผลการเจรจาต่อไปจะเป็นอย่างไร
อีกหนึ่งแรงสั่นสะเทือนสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยคือการหดตัวของนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงเกือบ 30% ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทั้งนี้สาเหตุหลักมาจากกระแสข่าวด้านลบในโซเชียลมีเดียจีนเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยในประเทศไทย ส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ
"หากเราไม่เร่งแก้ไขหรือสร้างความเข้าใจอย่างเป็นระบบ ปัญหานี้อาจลากยาวและกระทบทั้งระบบเศรษฐกิจ ดังนั้นการประชาสัมพันธ์เชิงรุกและสร้างความมั่นใจคือสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวหลัก" นายเกรียงไกร กล่าว
อย่างไรก็ดี ยังมีแรงหนุนจากนักท่องเที่ยวยุโรป ตะวันออกกลาง และรัสเซียที่เริ่มกลับเข้ามาทดแทนตลาดจีนได้บางส่วน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากอิสราเอลซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
จากสถานการณ์ด้านการค้าที่มีความไม่แน่นอนสูงจากมาตรการด้านภาษีของสหรัฐ ส่งผลด้านบวกต่อภาคการส่งออกของไทยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ที่เติบโตเฉลี่ย 14% โดยเฉพาะเดือนเมษายนที่เติบโตถึง 10.2% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งนำเข้าสินค้าของประเทศคู่ค้า ก่อนหมดช่วงผ่อนผันภาษี
"อย่างไรก็ตามจากความไม่แน่นอนด้านภาษีของสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ภาคเอกชนต้องเร่งหาตลาดใหม่ ๆ เช่น กลุ่มประเทศ GCC ในตะวันออกกลาง อินเดีย และลาตินอเมริกา ซึ่งยังมีศักยภาพสูง เพื่อลดการพี่งพาตลาดสหรัฐที่ในปีที่ผ่านมา สหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นสัดส่วนถึง 18.3% ของการส่งออกโดยรวม”
ดังตัวอย่างประเทศจีนในสมัยทรัมป์ 1.0 จีนพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐสัดส่วนประมาณ 20% และเกิดสงครามการค้า ปัจจุบันจีนพึ่งพาการส่งออกไปตลาดสหรัฐแค่ประมาณ 13% และตั้งเป้าจะลดสัดส่วนให้เหลือแค่ 10% เพื่อลดผลกระทบ ทั้งนี้ภาคเอกชนไทยต้องทำงานร่วมกับทูตพาณิชย์และกระทรวงพาณิชย์อย่างใกล้ชิด ผ่านระบบข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อปรับกลยุทธ์การผลิต และการตลาดให้สอดรับกับความต้องการของตลาดใหม่
นอกจากนี้ ยังเน้นการยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย โดยภาครัฐช่วยสนับสนุนการใช้สินค้า Made in Thailand ในโครงการจัดซื้อจัดจ้างต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทยให้แข็งแกร่งและยืนต่อไปได้ ขณะเดียวกัน ส.อ.ท.อยู่ระหว่างการผลักดันสมาชิกให้เร่งยกระดับอุตสาหกรรม ภายใต้นโยบาย "4 GO" เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ได้แก่ :
GO AI & Digital : ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและดิจิทัล
GO Innovation : สร้างนวัตกรรมใหม่
GO Green : มุ่งสู่ Net Zero
GO Global : หาตลาดใหม่ทั่วโลก
“แนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจะขึ้นอยู่กับผลการเจรจาภาษีกับสหรัฐ เป็นสำคัญ หากไทยสามารถลดอัตราภาษีจาก 36% เหลือ 10% ได้เทียบเท่าประเทศอย่างสิงคโปร์ จะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจให้เติบโตได้ตามเป้า แต่หากภาษีอยู่ในระดับสูง และคู่แข่งเจรจาลดลงได้มากกว่าไทย จะกลายเป็นความเสียเปรียบสำคัญ และอีกปัจจัยที่ต้องจับตาคือการชะลอการขึ้นภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่อาจมีผลกระทบทางอ้อมต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าจากไทยในตลาดโลก" นายเกรียงไกร กล่าวตอนท้าย
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 1 มิถุนายน 2568