คาดภาษีทรัมป์หลัง90วันไทยโดน28%ต่ำกว่าเวียดนาม-อินโดนีเซีย
อังค์ถัดเปิดคาดการณ์ภาษีสหรัฐหลังหยุดพัก 90 วัน พบไทยน่าจะถูกเรียกเก็บที่ 28%รองจากเวียดนามและอินโดนีเซีย เผยประเด็นภาษีศุลกากรมีผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐแค่ 0.3%
ห้วงเวลา 90 วันที่สหรัฐชะลอการขึ้นภาษีให้กับประเทศต่างๆ กำลังหมดลงไปทุกวัน ท่ามกลางการค้าที่กำลังปั่นป่วนการนำเข้าและส่งออกที่เข้าโหมดโหมกักตุนสินค้าและวัตถุดิบไว้เพื่อลดผลกระทบหากอัตราภาษีใหม่ของสหรัฐมีผลบังคับใช้แม้ว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนแต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องรู้และคาดการณ์ให้ได้มากที่สุด สถานาการณ์ภาษีทรัมป์ก็เช่นกัน
เมื่อเร็วๆนี้การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรืออังค์ถัด(UNCTAD)เผยแพร่รายงานคาดการณ์การกำหนดขนาดภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐสำหรับประเทศโดยรายงานระบุว่าสหรัฐกำลังเลิกใช้ภาษีศุลกากรที่ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำมากซึ่งก็ใช้มานานมาเกือบศตวรรษแล้ว จนทำให้สหรัฐเป็นประเทศหนึ่งที่มีภาษีศุลกากรต่ำที่สุดในโลก เช่น กรณีประเทศไทย ภาษีนำเข้าที่สหรัฐคิดไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.3% เท่านั้น

หลังการรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัล ทรัมป์ ก็ประกาศขึ้นภาษีประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐในอัตรามหาโหดทำให้ไทยและประเทศกำลังพัฒนาต่างๆกำลังยืนอยู่บนปากเหวแห่งการค้าที่มีความเป็นไปได้สูงว่ารายได้ที่ค้ำยันเศรษฐกิจมหาศาลกำลังจะร่วงหล่นลง
สหรัฐขึ้นภาษีเพิ่มเติมเต็มศก.ภายใน :
“เมื่อไม่นานมานี้ สหรัฐได้เริ่มเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า โดยเลิกใช้ภาษีศุลกากรที่อยู่ในระดับต่ำที่สุดในโลก นอกจากนี้ ในฐานะประเทศการค้าชั้นนำและหุ้นส่วนการพัฒนาที่สำคัญ สหรัฐยังจัดเตรียมโครงการพิเศษเพิ่มเติมสำหรับเศรษฐกิจที่เปราะบางให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง”
ย้อนกลับไปเมื่อ 2 เม.ย. 2568สหรัฐเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสำหรับคู่ค้าทั้งหมดอย่างมีนัยสำคัญ โดยประกาศเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสากล 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมด มีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เม.ย. โดยไม่คำนึงถึงข้อตกลงการค้าหรือพันธกรณีพหุภาคีภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) หรือโครงการให้สิทธิพิเศษฝ่ายเดียวสำหรับเศรษฐกิจที่เปราะบาง เช่น พระราชบัญญัติการเติบโตและโอกาสของแอฟริกา AGOA หรือโครงการริเริ่มลุ่มน้ำแคริบเบียน
หลังคำประกาศนี้ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนาน้อยที่สุดหลายประเทศอาจต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่เกิน 25% ขณะเดียวกันก็มีระบบภาษีเฉพาะประเทศใหม่ที่มุ่งเป้าไปที่การยกเลิกการขาดดุลการค้าของสหรัฐ หมายความว่าอัตราภาษีเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักการค้าจะเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย 2.8% เป็นมากกว่า 25% ในเดือนก.ค. 2568 เมื่อ “ช่วงพัก” 90 วันในปัจจุบันสิ้นสุดลง
โดยภาษีนำเข้าสินค้าจีนบางรายการอาจสูงเกิน 100% ภาษีนำเข้าเฉพาะประเทศใหม่ของสหรัฐที่ประกาศใช้กับคู่ค้าหลายรายนั้นคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย. แต่การบังคับใช้ถูกเลื่อนออกไป 90 วันจนถึงวันที่ 7 ก.ค.2568
สมการภาษีจีนคงโมเมนตัมการค้า :
อย่างไรก็ตาม ในกรณีจีน สหรัฐได้กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเติม 125% นอกเหนือไปจากภาษีนำเข้าตามมาตรา 301 ที่มีอยู่แล้ว (หัวข้อ III ของพระราชบัญญัติการค้า พ.ศ. 2517 ชื่อว่า “การบรรเทาจากการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม”) รวมถึงภาษีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและเฉพาะผลิตภัณฑ์ ภาษีเหล่านี้ยังคงมีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 13 พ.ค. 2025 แต่หลังจากนั้น สหรัฐและจีนได้ลดภาษีนำเข้าเพิ่มเติมที่บังคับใช้ในเดือนเม.ย.2568 ภาษีนำเข้าเพิ่มเติมของสหรัฐสำหรับสินค้าจีนลดลงจาก 125% เป็น 125% เหลือ 10% มีผลจนถึงวันที่ 13 ส.ค.2568 จากนั้นอัตราเฉลี่ยก็ลดลงจากกว่า 100% เหลือ 46%
จากสมการจีนและประเทศคู่ค้าสำหรับของสหรัฐ สามารถนำมาคำนวนอัตราภาษีในส่วนประเทศกำลังพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) และประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและโอเชียเนียจะเผชิญกับการปรับขึ้นภาษีศุลกากรที่รุนแรงที่สุด สำหรับประเทศกำลังพัฒนาน้อยที่สุด อัตราภาษีศุลกากรเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักการค้าได้เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าแล้ว โดยเพิ่มขึ้นเป็น 16% และอาจเพิ่มขึ้นอีกเป็น 44% อัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐต่อจีนได้เพิ่มขึ้นเป็นค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักการค้าที่ 46% แต่ถึงแม้จะไม่รวมจีน อัตราภาษีศุลกากรต่อประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและโอเชียเนียก็เพิ่มขึ้นเป็น 13% แล้ว และอาจเพิ่มขึ้นอีกเป็น 24% หลังจากการหยุดชั่วคราว 90 วันในปัจจุบัน
ภาษีที่ไทยและอาเซียนโดนหลัง 90 วัน :
รายงานระบุว่า ในช่วง 90 วัน ไทยเผชิญภาษีศุลกากรสหรัฐ ที่ 14.2% มาเลเซีย 9.2% เวียดนาม 14.3% อินโดนีเซีย 14.0% สิงคโปร์ 4.8% แต่หลังจาก 90 วัน คาดว่า อัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นโดยไทย 28.1% มาเลเซีย 15.7% สิงคโปร์ 4.8% อินโดนีเซีย 31.8% เวียดนาม 36.9%
เศรษฐกิจที่เปราะบางจะต้องจ่ายราคาที่สูงที่สุดสำหรับภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐประเทศกำลังพัฒนาบางแห่งอาจเผชิญกับการขึ้นภาษีศุลกากรสูงสุด ซึ่งสูงกว่าที่เรียกเก็บจากจีนหลังจากการปรับภาษีศุลกากร ณ วันที่ 14 พ.ค.2568
คาดว่าเศรษฐกิจที่เปราะบางหลายสิบแห่งจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐ การส่งออกของประเทศเหล่านี้มักพึ่งพาผลิตภัณฑ์ในวงจำกัดและตลาดจำนวนจำกัด อุปสรรคการค้าที่สูงขึ้นอาจขัดขวางการค้าเหล่านี้ ส่งผลให้ประเทศเหล่านี้ประสบความยากลำบากยิ่งขึ้นในการรักษาการเข้าถึงตลาดและรักษาความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในภาคส่วนสำคัญ เช่น สิ่งทอและเกษตรกรรม
ด้านWTO ได้ระบุถึงคาดว่าปริมาณการค้าสินค้าทั่วโลกจะลดลง 0.2% ในปี2568 ภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน ซึ่งคาดการณ์ใหม่นี้ลดลงเกือบ 3% จากที่คาดไว้ภายใต้สถานการณ์พื้นฐาน “ภาษีศุลกากรต่ำ” ตามรายงาน Global Trade Outlook and Statistics ฉบับล่าสุดของสำนักเลขาธิการ WTO ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 เม.ย.2568 โดยพิจารณาจากสถานการณ์ภาษีศุลกากร ณ วันที่ 14 เม.ย. การค้าอาจหดตัวลงอีกเหลือ -1.5% ในปี 25682 หากสถานการณ์แย่ลง
WTOปรับตัวสอดคล้องการค้าจริง :
เอ็นโกซี โอคอนโจ-อิเวียลาผู้อำนวยการใหญ่WTOกล่าวว่า รู้สึกกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นโดยรอบ อันเนื่องจากนโยบายการค้า รวมถึงการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐและจีน แม้การลดความตึงเครียดด้านภาษีศุลกากรในช่วงไม่นานมานี้ช่วยบรรเทาแรงกดดันต่อการค้าโลกได้ชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนที่คงอยู่ต่อไปและจะส่งผลต่อการเติบโตของโลกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจที่เปราะบางที่สุด เมื่อเผชิญกับวิกฤตินี้ อีกด้านหนึ่ง สมาชิก WTO มีโอกาสอันดีอย่างไม่เคยมีมาก่อนในการสร้างพลวัตให้กับองค์กร ส่งเสริมให้เกิดสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน ปรับปรุงกระบวนการตัดสินใจ และปรับเปลี่ยนข้อตกลงของWTOให้สอดคล้องกับความเป็นจริงระดับโลกในปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น
ภาษีกลุ่มกำลังพัฒนามีผลศก.สหรัฐแค่ 0.3% :
ในช่วงต้นปี สำนักเลขาธิการ WTO คาดว่าการค้าโลกจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2568 และ 2569 โดยการค้าสินค้าจะเติบโตสอดคล้องกับ GDP ของโลกอย่างไรก็ตาม ภาษีศุลกากรใหม่จำนวนมากที่นำมาใช้ตั้งแต่เดือนม.ค.ทำให้บรรดานักเศรษฐศาสตร์ของ WTO ต้องประเมินสถานการณ์การค้าใหม่ ส่งผลให้มีการปรับลดคาดการณ์การค้าสินค้าลงอย่างมาก
นอกจากนี้ อังค์ถัดได้ระบุตอนท้ายถึงแนวทางการแก้ปัญหานี้ไว้ว่า การป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจที่เปราะบางที่สุดต้องเผชิญภาระภาษีศุลกากรที่สูงจนสร้างความเสียหายควรเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาต่างมีส่วนต่อรายได้ของสหรัฐจากภาษีศุลกากรในสัดส่วนที่น้อยมาก หรือ จะสร้างสมดุลการค้าให้สหรัฐ ได้เพียงเพียง 0.3% เท่านั้น
ดังนั้นผู้กำหนดนโยบายจึงควรให้สมการการประเมินภาษีที่แท้จริงเป็นโอกาสในการวางแผนเจรจากับสหรัฐเพื่อกำหนดกรอบภาษีศุลกากรใหม่ร่วมกันเพื่อปกป้องการพัฒนาอย่างยั่งยืนและหลีกเลี่ยงความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 4 มิถุนายน 2568