กกร. หวั่นเศรษฐกิจไทยแผ่ว หั่น GDP ทั้งปีเหลือ 1.5-2.0% จี้รัฐเร่งเจรจาภาษีทรัมป์
กกร. หั่น GDP ทั้งปีเหลือ 1.5-2.0% จากเดิมอยู่ที่ 2.0-2.2% รับกังวลมาตรการภาษีทรัมป์ เร่งรัฐเร่งเจรจาภาษีทรัมป์ พร้อมจับตาดีลลับคู่แข่ง-เวียดนามหวั่นกระทบเศรษฐกิจระยะยาว
นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย หอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง และมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น หลังมาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐอยู่ระหว่างการพิจารณาทางกฎหมาย
และล่าสุดรัฐบาลสหรัฐได้เพิ่มภาษี Sectoral Tariff เหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% ซึ่งประเทศไทยก็เป็นประเทศที่ส่งออกเหล็กไปสหรัฐในสัดส่วนที่ค่อนข้างเยอะ
อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป มีส่วนช่วยลดความตึงเครียดของสงครามการค้าในระดับหนึ่ง
ขณะที่แรงส่งของเศรษฐกิจไทยแผ่วลง จากตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ขยายตัวที่ 3.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราวตามการลงทุนภาครัฐซึ่งเทียบกับฐานต่ำในปีก่อน หากไม่นับปัจจัยดังกล่าวเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ประมาณ 2.1% เท่านั้น
โดยการบริโภคภาคเอกชนชะลอลง ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่อง และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง ด้านการส่งออกสินค้าแม้จะขยายตัวสูงกว่า 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการเร่งส่งออก แต่กลับไม่ได้ส่งผลบวกต่อภาคการผลิต ซึ่งขยายตัวเพียง 0.6% โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกโดยใช้สินค้าคงคลังและผู้ประกอบการไม่ได้ผลิตเพื่อทดแทนสินค้าคงคลังที่ลดลง
นอกจากนี้ กกร. ยังได้ปรับการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 ด้วยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ครั้งก่อน โดยคาดว่าจะเติบโตได้ที่ 1.5-2.0% จากเดิมคาดว่าจะโต 2.0-2.2% ตามการส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง
อย่างไรก็ตาม การที่เศรษฐกิจจะเติบโตได้ที่ 2.0% นั้น จำเป็นต้องมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเป้า และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐให้ได้อย่างน้อย 70% ของวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังต้องเร่งขยายตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long-haul) ซึ่งตั้งแต่ต้นปีขยายตัวราว 17% เพื่อทดแทนนักท่องเที่ยวจากจีนที่ลดลงและสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว
แม้ กกร. คาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจจะขยายตัวใกล้เคียง 3.0% แต่ครึ่งหลังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวไม่ถึง 1% โดยขึ้นอยู่กับผลการเจรจาภาษีระหว่างสหรัฐและไทย เทียบกับประเทศคู่แข่ง ตลอดจนแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อธุรกิจและการจ้างงาน ดังนั้นมาตรการภาครัฐที่ปัจจุบันเป็นมาตรการระยะสั้น จึงควรมองต่อเนื่องทั้งมาตรการระยะกลางและระยะยาวเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต่อเนื่อง
และจากการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยในช่วงครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะลดลง นายผยงได้กล่าวว่า กกร. จึงมีความกังวลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ดังนั้นเพื่อเป็นมาตรการลดภาระให้กับผู้ประกอบการไทย กกร. จึงเสนอให้ภาครัฐพิจารณาปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการประเภทที่ 3 กิจการขนาดกลาง ประเภทที่ 4 กิจการขนาดใหญ่ และประเภทที่ 5 กิจการเฉพาะอย่าง กิจการโรงแรมและให้เช่าพักอาศัย ที่ปัจจุบันมีการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท
โดยขอให้ปรับลดวงเงินประกันให้เหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการชำระค่าไฟฟ้าตามกำหนด โดย กกร. คาดว่าการปรับลดวงเงินประกันดังกล่าวจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องทางการเงินในการดำเนินธุรกิจมากขึ้นในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจที่ความผันผวนสูง
ทั้งนี้ ที่ประชุม กกร.ยังมีความกังวลประเด็นการสวมสิทธิการส่งออก และการ Re-export โดยใช้ Local Content ต่ำ ซึ่งไม่ได้ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ แม้ว่าการส่งออกจะขยายตัวได้สูง แต่ก็มีการนำเข้าที่สูง ขณะที่ภาคการผลิต การบริโภคในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชนที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม
รวมไปถึงมีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่มาอยู่ในช่วง 32.5-32.7 บาทต่อดอลลาร์ โดยแข็งค่ามากกว่าประเทศในภูมิภาค เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ และจีน ในเดือนที่ผ่านมา ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าระดับที่ธุรกิจแข่งขันได้
โดย กกร. มองว่าควรให้ความสำคัญกับการดูแลค่าเงินไม่ให้แข็งค่าหรือผันผวนเร็วจนเกินไป และการสื่อสารเชิงรุกเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถรับรู้และปรับตัวได้ทันการณ์ อีกทั้งยังจำเป็นต้องมีการส่งผ่านประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็ง เช่น ต้นทุนนำเข้าสินค้าพลังงาน และวัตถุดิบในภาคเกษตร ที่ลดลงไปยังภาคการผลิตและภาคประชาชนให้ได้อย่างเป็นระบบ
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีความพร้อมในด้านเงื่อนไขในการเจรจาหลังจากที่ได้มีการประชุมเกิดขึ้น แต่ปัญหาขึ้นอยู่กับการให้คิวกับประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งที่ผ่านมามีกระแสการเจรจาของประเทศต่าง ๆ ในรูปแบบล็อบบี้ บางประเทศมีการเข้าไปพูดคุย 2-3 ครั้ง ยังไม่ได้ออกมาอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ระยะเวลาอีกไม่ถึง 30 วันต่อจากนี้ เราได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทั้งในเรื่องของโอกาสการเข้าไปพบเพื่อเจรจาพูดคุยอย่างเป็นทางการ เนื่องจากปัญหาดังกล่าวกระทบผู้ส่งออก ภาคการผลิตชะลอตัวลง จากสถานการณ์การขนส่งทางเรือ แม้ตัวเลขส่งออก 4 เดือนค่อนข้างดี ขยายตัว 14% แต่หลังจากนี้ต้องติดตามผลสรุปการเจรจาที่อาจส่งผลจ่อการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขอย่างใกล้ชิด
ท้ายที่สุด ไม่ใช่แค่ผลการเจรจาไทย-สหรัฐ แต่เราต้องเปรียบเทียบร่วมกับคู่แข่งภายในภูมิภาค เช่น เวียดนาม ที่โดนภาษีไป 40% ไทย 36% หากอยู่ในสัดส่วนที่ไทยยังได้เปรียบก็ถือเป็นประโยชน์และมีผลกระทบไม่มากนัก หากเวียดนามเจรจาได้เงื่อนไขที่ดีกว่า ก็จะส่งผลกระทบหนักกับไทย
“ตอนนี้ต้องเปรียบเทียบชอตต่อชอต ประเทศต่อประเทศ รวมถึงเจาะจงเฉพาะกลุ่มสินค้า จากเดิมเหล็ก อะลูมิเนียมที่ส่งออกไปสหรัฐพอสมควรเมื่อคิด 25% และปรับเป็น 50% ดังนั้นต้องเฝ้าติดตามพอสมควร”
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 4 มิถุนายน 2568