ภาษีทรัมป์-จีนเที่ยวไทย ชี้ชะตาครึ่งหลัง ผวาเสียเปรียบคู่แข่งกดจีดีพีติดลบ
บิ๊กสภาอุตฯ ชี้ 3 ปัจจัยชี้เป็นชี้ตายเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 68 ทั้งภาษีตอบโต้ของสหรัฐที่จะเรียกเก็บจากไทย ภาษีคู่แข่งขันที่ถูกสหรัฐเรียกเก็บ ภาษีสหรัฐเก็บจากจีนไปต่อหรือคงไว้ที่ 30% ชี้หากไทยเสียเปรียบคู่แข่ง มีสิทธิ์ส่งออกติดลบถึง 2% จีดีพีโตตํ่า 1%
แม้ตัวเลขเศรษฐกิจไทยจะยังดูดี โดยจีดีพีไทยไตรมาสแรกปี 2568 ยังขยายตัวได้ 3.1% ส่งออก 4 เดือนแรกขยายตัวสูงถึง 14% ขณะที่การขอรับการส่งเสริมการลงทุนไตรมาสแรกปี 2568 มีโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ และคนไทย คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวม 431,237 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97%
ส่วนตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ มีจำนวนสะสม 14.36 ล้านคน ลดลง 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยนักท่องเที่ยวจีนยังคงครองแชมป์เดินทางเที่ยวไทยสูงสุด 1.95 ล้านคน แต่ลดลง 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามทิศทางตัวเลขเศรษฐกิจข้างต้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัวลง

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจและการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งตัวเลขจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นกับ 4 ปัจจัยสำคัญได้แก่
(1)ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่เดิมสหรัฐอเมริกาจะเรียกเก็บจากไทยที่ 36% (ถูกชะลอออกไปถึงวันที่ 8 ก.ค. 68) ซึ่งหลังการเจรจาไทย-สหรัฐแล้วต้องรอลุ้นว่าภาษีที่ไทยจะถูกเก็บจริงจะมีอัตราเท่าใด
(2)อัตราภาษีของประเทศคู่แข่งขันส่งออกของไทยไปสหรัฐ เฉพาะอย่างยิ่งคู่แข่งจากย่านอาเซียนด้วยกันว่าจะออกมาเป็นเท่าใด อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่ในเบื้องต้นจะถูกสหรัฐเก็บภาษีตอบโต้จากสหรัฐในอัตรา 46% 24% และ 32% ตามลำดับ หากภาษีไทยสูงกว่าจะเสียเปรียบในการแข่งขัน และจะมีผลต่อการส่งออกที่ลดลง แต่หากภาษีไทยตํ่ากว่าก็จะชิงได้เปรียบ
(3)อัตราภาษีสินค้าจีนที่ได้บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐชั่วคราว โดยสหรัฐชะลอการเก็บภาษีสินค้าจีนจาก 145% เหลือ 30% ที่ถูกชะลอออกไป 90 วัน (ครบกำหนด 9 ส.ค. 68) ซึ่งหากครบกำหนดแล้ว ผลการเจรจาระหว่างจีน-สหรัฐจะออกมาเป็นเช่นไร หากสหรัฐยังคงเก็บภาษีสินค้าจีนที่ 30% สินค้าไทยอาจเสียเปรียบในการแข่งขันกับสินค้าจีนมากขึ้น หากไทยถูกเก็บภาษีที่ 36%
(4)จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่จะมาเที่ยวไทย ที่ตั้งเป้าหมายไว้ปีนี้ที่ 7.5 ล้านคน แต่ปรากฎช่วง 5 เดือนแรก จีนมาเที่ยวไทยลดลง โดยเข้ามาเพียง 1.95 ล้านคน ลดลง 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีส่วนสำคัญจากกระแสโซเชียลในจีนระบุมาเที่ยวไทยแล้วไม่ปลอดภัย ซึ่งในเรื่องนี้ต้องเร่งแก้โดยการทำประชาสัมพันธ์สร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา
“กรณีที่ไทยถูกเก็บภาษีตอบโต้จากสหรัฐในอัตรา 36% ประมาณการส่งออกไทยทั้งปีนี้อาจติดลบถึง 2% และจีดีพีจะโตตํ่ากว่า 1% ส่วนกรณีหากไทยถูกเก็บภาษีตอบโต้ที่ 10% ส่งออกไทยจะขยายตัวได้ 0.3-0.9% และจีดีพีจะขยายตัวได้ 1.4-1.9% ล่าสุด กกร.ได้ปรับลดประมาณการส่งออกไทยทั้งปี 2568 ในการประชุม ณ เดือนมิถุนายนลงเหลือ -0.5% ถึง 0.3% และจีดีพีจะขยายตัวได้ 1.5% ถึง 2.0% ซึ่งลดลงจากประมาณการในเดือนพฤษภาคม ที่คาดขยายตัวได้ 2.0% ถึง 2.2% โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากหลายประเด็นข้างต้นที่กล่าวมา”
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า เพื่อลดผลกระทบจากตลาดสหรัฐที่ยังมีความเสี่ยงจากอัตราภาษีตอบโต้ที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะออกมาในอัตราเท่าใด ภาครัฐและเอกชนไทยต้องจับมือกันในการเร่งขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดสหรัฐที่เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยในปีที่ผ่านมา (สัดส่วน18.3%) เช่น ตลาดตะวันออกกลาง กลุ่ม GCC ลาตินอเมริกา อินเดีย และเอเชียใต้ เป็นต้น ดังตัวอย่างจีนในสมัยทรัมป์ 1.0 พึ่งพาตลาดสหรัฐประมาณ 20% ปัจจุบันลดเหลือประมาณ 13% และตั้งเป้าจะลดให้เหลือ 10% ในอนาคต
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 6 มิถุนายน 2568