วิกฤติ "สงครามการค้า" สาหัส ยิ่งกว่า "โควิด" หลายร้อยเท่า
คำเตือนล่าสุดจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปรียบเหมือนเสียงระฆังปลุกกลางดึกที่ควรปลุกรัฐบาลไทยให้ตื่นขึ้นมาเผชิญความจริงว่า “สงครามการค้าระลอกใหม่” กำลังก่อตัวเป็นคลื่นยักษ์ทางเศรษฐกิจ ที่อาจถล่มเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาเมื่อไหร่ก็ได้ ให้ทรุดตัวลงยิ่งกว่าวิกฤติโควิด-19
โดยเฉพาะเมื่อเครื่องมือทางนโยบายของธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่กำลังหมดพลัง ท่ามกลางภัยเศรษฐกิจที่รุมเร้าจากทุกสารทิศ ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐ แต่ครอบคลุมลุกลามไปถึงห่วงโซ่อุปทานโลกที่เปลี่ยน เงินทุนไหลออก การกีดกันการค้ารุนแรงขึ้น ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังร้อนระอุ
สำหรับประเทศไทยที่พึ่งพาการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศเป็นหลัก วิกฤติที่ IMF เตือน อย่ามองว่าเป็นภัยที่อยู่ภายนอกประเทศ แต่จงมองใหม่ว่านี่คือ แรงสะเทือนที่แทงจากข้างหลังทะลุตรงเข้าสู่หัวใจของเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง การส่งออกอาจหดตัว การลงทุนอาจชะลอลง และตลาดแรงงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเพื่อส่งออกอาจได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่ ปัจจัยเหล่านี้หากไม่ได้รับการรับมืออย่างเป็นระบบและเร่งด่วน ย่อมเสี่ยงทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงโครงสร้างได้ในเวลาอันใกล้
ขณะที่ หลายประเทศเริ่มออกมาตรการเชิงรุก ตั้งแต่การกระจายตลาดส่งออก การส่งเสริมนวัตกรรมภายในประเทศ จนถึงการสร้างภูมิคุ้มกันทางการคลัง ไทยกลับยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนว่ารัฐบาลได้ประเมินสถานการณ์นี้อย่างเข้มข้นเพียงพอ แม้จะมีการกล่าวถึงมาตรการต่างๆ มากมายทางเศรษฐกิจ หรือการดึงดูดนักลงทุนใหม่ๆ แต่ยังไม่มีแผนระดับชาติที่รับมือกับโลกการค้าที่กำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม นี่ยังไม่นับปัญหาเรื่อง “พื้นที่ชายแดนไทย- กัมพูชา” ที่กำลังเป็น “เรื่องใหญ่” รัฐบาลต้องหาทางออกให้ดี อย่าให้ความขัดแย้งขยายวงมากกว่านี้ จะยิ่งกระทบต่อภาพใหญ่ประเทศ ซ้ำเติมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่ไม่ดีอยู่แล้ว
รัฐบาลไทยต้องออกจาก “คอมฟอร์ทโซน" และเข้าสู่ “โหมดเตรียมพร้อมขั้นสูงสุด” ที่ไม่ใช่มีแต่มาตรการกระตุ้นบริโภค หรือแจกเงินระยะสั้น หากต้องวางโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ที่ต้านทานแรงสั่นสะเทือนจากปัจจัยที่คาดไม่ถึงจากภายนอกได้ ประเทศไทยจะไม่สามารถยืนอยู่ในเวทีเศรษฐกิจโลกอย่างมั่นคง หากยังคิดว่าทุกวิกฤติจะคลี่คลายได้ด้วยการ “รอเวลาให้ผ่านไป” .....โลกไม่ได้หมุนช้าลงเพื่อรอเรา วิกฤติครั้งนี้ไม่ได้มาในรูปแบบของโรคระบาด แบบที่เราผ่านมาได้แบบทุลักทุเล หากความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอาจยาวนานยิ่งกว่า หากเราไม่เริ่มวางรากฐานเพื่อรับมือตั้งแต่วันนี้
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 6 มิถุนายน 2568