กกร.หั่นจีดีพีปีนี้เหลือ 1.5-2% ห่วงครึ่งปีหลังสินค้าจีนทะลักกระทบจ้างงาน
กกร.ห่วงครึ่งปีหลัง ศก.ไทยโดนรุมเร้าหนัก พิษภาษีทรัมป์ทำสินค้าจีนทะลักกระทบการจ้างงาน ปรับลดเป้าจีดีพีปีนี้เหลือ 1.5-2.0% จากเดิม 2.0-2.2% ชี้ไตรมาสแรกการลงทุน-บริโภคเอกชนชะลอ แถมนักท่องเที่ยวจีนลดฮวบ แม้ส่งออกยังโต 15% แต่เป็นสินค้าในสต๊อก ภาคการผลิตเพิ่มแค่ 0.6% ติงค่าบาทแข็งกว่าเพื่อนบ้าน
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย หอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง และมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น หลังมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอยู่ระหว่างการพิจารณาทางกฎหมาย และล่าสุดรัฐบาลสหรัฐได้เพิ่มภาษี Sectoral Tariff เหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% ซึ่งประเทศไทยก็เป็นประเทศที่ส่งออกเหล็กไปสหรัฐในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง
ลดเป้าจีดีพีปีนี้เหลือ 1.5-2% :
อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป มีส่วนช่วยลดความตึงเครียดของสงครามการค้าในระดับหนึ่ง ขณะที่แรงส่งของเศรษฐกิจไทยแผ่วลง จากตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ขยายตัวที่ 3.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราวตามการลงทุนภาครัฐ ซึ่งเทียบกับฐานต่ำในปีก่อน หากไม่นับปัจจัยดังกล่าว เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ประมาณ 2.1% เท่านั้น โดยการบริโภคภาคเอกชนชะลอลง ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่อง และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง ด้านการส่งออกสินค้า แม้จะขยายตัวสูงกว่า 15% แต่กลับไม่ได้ส่งผลบวกต่อภาคการผลิต ซึ่งขยายตัวเพียง 0.6% โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกโดยใช้สินค้าคงคลังและผู้ประกอบการไม่ได้ผลิตเพื่อทดแทนสินค้าคงคลังที่ลดลง
นอกจากนี้ กกร.ยังได้ปรับการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 ด้วยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ครั้งก่อน โดยคาดว่าจะเติบโตได้ที่ 1.5-2.0% จากเดิมคาดว่าจะโต 2.0-2.2% ตามการส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง
ห่วงครึ่งปีหลัง ศก.โตไม่ถึง 1% :
อย่างไรก็ตาม การที่เศรษฐกิจจะเติบโตได้ที่ 2.0% นั้น จำเป็นต้องมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเป้า รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐให้ได้อย่างน้อย 70% ของวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ยังต้องเร่งขยายตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long-haul) ซึ่งตั้งแต่ต้นปีขยายตัวราว 17% เพื่อทดแทนนักท่องเที่ยวจากจีนที่ลดลง กกร.คาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจจะขยายตัวใกล้เคียง 3.0% แต่ครึ่งหลังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวไม่ถึง 1% โดยขึ้นอยู่กับผลการเจรจาภาษีระหว่างสหรัฐและไทย เทียบกับประเทศคู่แข่ง ตลอดจนแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อธุรกิจและการจ้างงาน
นายผยงกล่าวว่า เพื่อเป็นมาตรการลดภาระให้กับผู้ประกอบการไทย กกร.จึงเสนอให้ภาครัฐพิจารณาปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการประเภทที่ 3 กิจการขนาดกลาง ประเภทที่ 4 กิจการขนาดใหญ่ และประเภทที่ 5 กิจการเฉพาะอย่าง กิจการโรงแรมและให้เช่าพักอาศัย ที่ปัจจุบันมีการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยขอให้ปรับลดวงเงินประกันให้เหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการชำระค่าไฟฟ้าตามกำหนด โดย กกร.คาดว่าการปรับลดวงเงินประกันดังกล่าวจะมีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้นในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจผันผวนสูง
ชี้ค่าบาทแข็งกว่าเพื่อนบ้าน :
ทั้งนี้ ที่ประชุม กกร.ยังมีความกังวลประเด็นการสวมสิทธิการส่งออก และการ Reexport โดยใช้ Local Content ต่ำ ซึ่งไม่ได้ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ แม้ว่าการส่งออกจะขยายตัวได้สูง แต่ก็มีการนำเข้าที่สูง รวมไปถึงมีความกังวลต่อสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว อยู่ในช่วง 32.50-32.70 บาทต่อดอลลาร์ โดยแข็งค่ามากกว่าประเทศในภูมิภาค เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ และจีน ในเดือนที่ผ่านมา ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าระดับที่ธุรกิจแข่งขันได้ โดย กกร.มองว่าควรให้ความสำคัญกับการดูแลค่าเงินไม่ให้ผันผวนเร็วจนเกินไป
จับตาผลเจรจาไทยเทียบคู่แข่ง :
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีความพร้อมในด้านเงื่อนไขในการเจรจา หลังจากที่ได้มีการประชุมเกิดขึ้น แต่ปัญหาขึ้นอยู่กับการให้คิวกับประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งที่ผ่านมามีกระแสการเจรจาของประเทศต่าง ๆ ในรูปแบบล็อบบี้ บางประเทศมีการเข้าไปพูดคุย 2-3 ครั้งยังไม่ได้ออกมาอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ระยะเวลาอีกไม่ถึง 30 วันต่อจากนี้ เราได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องของโอกาสการเข้าไปพบเพื่อเจรจาพูดคุยอย่างเป็นทางการ เนื่องจากปัญหาดังกล่าวกระทบผู้ส่งออก ภาคการผลิตชะลอตัวลง จากสถานการณ์การขนส่งทางเรือ แม้ตัวเลขส่งออก 4 เดือนค่อนข้างดี ขยายตัว 14% แต่หลังจากนี้ต้องติดตามผลสรุปการเจรจาที่อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขอย่างใกล้ชิด ท้ายที่สุด ไม่ใช่แค่ผลการเจรจาไทย-สหรัฐ แต่เราต้องเปรียบเทียบร่วมกับคู่แข่งภายในภูมิภาค เช่น เวียดนาม หากเวียดนามเจรจาได้เงื่อนไขที่ดีกว่า ก็จะส่งผลกระทบหนักกับไทย
“ตอนนี้ต้องเปรียบเทียบชอตต่อชอต ประเทศต่อประเทศ รวมถึงเจาะจงเฉพาะกลุ่มสินค้า จากเดิมเหล็ก อะลูมิเนียมที่ส่งออกไปสหรัฐพอสมควรเมื่อคิด 25% และปรับเป็น 50% ดังนั้น ต้องเฝ้าติดตามพอสมควร”
หอค้าเชื่อไทยได้เจรจาเร็วๆ นี้ :
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการติดตามความคืบหน้าเจรจากับสหรัฐเป็นไปในทางที่ดี เชื่อว่าไทยจะสามารถเร่งเจรจากับสหรัฐได้ในเร็ว ๆ นี้ โดยกรอบข้อเสนอ 5 ข้อที่คณะทำงานส่งให้กับผู้แทนการค้าของสหรัฐ (USTR) ถือว่าดีที่สุดแล้ว ประกอบไปด้วยการเจรจา 5 เสาหลักคือ
1) ความร่วมมือเพื่อนำไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ไทย-สหรัฐ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแปรรูป และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล (Data Center and AI Industry) และการพิจารณาลดอุปสรรคทางการค้า ทั้งภาษีและมิใช่ภาษี 2) เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ โดยเฉพาะสินค้าพลังงาน สินค้าเกษตร และเครื่องบิน ส่วนประกอบและอุปกรณ์บริการ โดยปลัดกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยผู้บริหาร ปตท. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด ได้เดินทางไปรัฐอะแลสกา เพื่อหาโอกาสและเพิ่มความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างไทย-สหรัฐ
3) การเปิดตลาดสาขาเกษตรของไทย อาทิ ผลไม้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น 4) การบังคับใช้กฎหมายป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งไทยได้เริ่มบังคับใช้กฎหมายแล้วอย่างจริงจัง 5) ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐมากขึ้น
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 7 มิถุนายน 2568