"ไทย" ลุ้นสหรัฐหั่นภาษีตอบโต้ "รัฐ-เอกชน" มั่นใจตอบรับ 5 ข้อเสนอ
KEY POINTS
* ไทยตั้งทีมเจรจาทางเทคนิคกับสหรัฐ
* โต๊ะเจรจาสหรัฐ-ไทย อยู้ในกรอบข้อเสนอ 5 ข้อสหรัฐ
* หอการค้าไทย ชี้สัญญาณดีสหรัฐตอบเจรจา มั่นใจไทยได้ลดภาษี
* นายกมอบนโยบายทูต
การเจรจาอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ซึ่งสหรัฐประกาศอัตราสำหรับไทย 36% มีความชัดเจนมากขึ้นหลังสหรัฐตอบรับเปิดเจรจา โดยนายพิชัย ชุณหวชิรรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตอบรับเดินทางไปเจรจาที่สหรัฐ ซึ่งจะเป็นการเจรจาระดับสูงอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการหารือระดับคณะทำงานจนตลอด
สำหรับข้อเสนอของไทยครอบคลุม 5 ประเด็น ซึ่งนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐเคยระบุเป็นข้อเสนอที่ดี โดยครอบคลุมมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี การนำเข้าสินค้าเพิ่มจากสหรัฐ การแก้ปัญหาสินค้าที่มีการสวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งมีเป้าหมายสร้างสมดุลการค้าระหว่างไทยและสหรัฐภายใน 10 ปี ซึ่งในภาย 5 ปี จะลดการขาดดุลการค้าสหรัฐลงเหลือ 50%
ทั้งนี้ สหรัฐขึ้นภาษีตอบโต้ไทยอยู่ที่ 36% ติดอันดับ 20 จาก 185 เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าทั่วโลก และเป็นอันดับ 9 ของเอเชีย รองจากประเทศกลุ่ม CLMV ศรีลังกา อิรักและบังกลาเทศ
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภายหลังที่กระทรวงพาณิชย์ได้รับหนังสือตอบรับอย่างเป็นทางการจากสหรัฐในการเจรจาภาษีตอบโต้ของสหรัฐเมื่อ 3 วันที่ผ่านมา ขั้นตอนหลังจากนี้จะแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เจรจาด้านเทคนิคที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสเพื่อเจรจาผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ
ส่วนประเด็นการเดินทางไปสหรัฐของคณะเจรจาที่มีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งมีแผนไปเจรจาที่สหรัฐ แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ระยะเวลาที่เหลือเพียง 1 เดือน จึงกังวลว่าอาจไม่ทันเวลาที่สหรัฐกำหนดภายใน 90 วัน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 8 ก.ค.2568 จึงใช้วิธีเจรจาผ่านระบบออนไลน์แทน
“พาณิชย์”มั่นใจ 5 ข้อเสนอไทย :
สำหรับประเด็นที่ไทยเตรียมไว้สำหรับเจรจาสหรัฐยังคงเป็นไปตามกรอบเดิม 5 ประเด็น โดยมีเป้าหมายลดการเกินดุลกับสหรัฐให้ได้ 50% ภายใน 5 ปี และส่งเสริมความร่วมมือเป็นพันธมิตรระดับยุทธศาสตร์มากขึ้นในอนาคต ได้แก่
(1)เสริมความร่วมมือธุรกิจอาหารแปรรูปไทยและสหรัฐ มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปด้วยการใช้จุดแข็ง 2 ประเทศร่วมกัน โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพื่อเป็นวัตถุดิบแปรรูปและส่งออกไปตลาดโลก และหารือร่วมภาคเกษตรของสหรัฐที่เป็นฐานเสียงสำคัญทางการเมืองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

(2)เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ โดยไทยมีแผนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจำเป็น อาทิ พลังงาน (น้ำมันดิบ, LNG, อีเทน), เครื่องบินและชิ้นส่วน, อาวุธยุทโธปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เกษตรอย่างข้าวโพด ถั่วเหลือง และเนื้อวัว เพื่อกระชับความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ และตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจในประเทศ
(3)เปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า การลดภาษีนำเข้าภายใต้ระบบ MFN จำนวน 11,000 รายการ ลง 14% รวมถึงการลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือ อีกทั้งลดโควตาและข้อจำกัดพร้อมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐ เช่น เชอรี่ แอปเปิ้ล ข้าวสาลี ข้าวโพด และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์
(4)บังคับใช้กฎหมายถิ่นกำเนิดสินค้าเคร่งครัดผ่านการบังคับใช้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้า “Made in Thailand” โดยสินค้าจากประเทศที่ 3 ส่งออกผ่านไทยไปสหรัฐ ซึ่งจะเพิ่มการเฝ้าระวังเพื่อรักษาภาพลักษณ์สินค้าไทยในตลาดสหรัฐ
(5)ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐ ภาครัฐสนับสนุนการขยายการลงทุนของเอกชนไทยในสหรัฐ ภายใน 4 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เช่น โครงการลงทุน LNG ในรัฐอลาสก้า และการลงทุนฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ ปัจจุบันเอกชนไทยลงทุนในสหรัฐ 70 แห่ง ใน 20 มลรัฐ สร้างงานมากกว่า 16,000 ตำแหน่ง มูลค่าการลงทุน 16,000 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ทีมเจรจาทางเทคนิคจะดำเนินการเจรจาโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ทันก่อนเดดไลน์ 8 ก.ค. 2568 ที่สหรัฐฯจะบังคับใช้ภาษีตอบโต้ 36 %
“หอการค้า”มั่นใจเรตภาษีต่ำลง :
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า การตอบรับการเจรจาของสหรัฐถือเป็นสัญญาณที่ดี โดยภาคเอกชนยินดีสนับสนุนข้อมูลและเห็นว่าข้อเสนอของไทยทั้ง 5 ข้อ ครอบคลุมประเด็นเจรจาการลดภาษีทั้งหมดแล้ว
ส่วนจะให้เอกชนเข้าร่วมด้วยหรือไม่เห็นว่าไม่จำเป็น เพราะทีมเจรจารู้รายละเอียดทั้งหมดแล้ว และหวังว่าการเจรจาจะได้รับผลน่าพอใจ โดยหากการเจรจาจบได้ภายในสัปดาห์นี้สัปดาห์หน้าจะเป็นผลดี เพราะการส่งออกชะลอเนื่องจากหากลงเรือจากไทยวันนี้อาจต้องใช้เวลา 30 วัน ไปถึงสหรัฐไม่ทันตามกำหนดผ่อนผันภาษี แต่หากเจรจาจบเร็วจะส่งผลดีทั้ง 2 ประเทศ
“การเจรจาอยู่ในกรอบ 5 ข้อ เพราะข้อเสนอของไทยสร้างความสมดุลทางการค้าของทั้ง 2 ฝ่ายและสอดคล้องกับกฎระเบียบโลก”
ทั้งนี้ปี 2567 สหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นสัดส่วน 18.3% โดยไทยมีมูลค่าการค้ารวมกับสหรัฐ 74,484 ล้านดอลลาร์ ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่า 54,956 ล้านดอลลาร์ และนำเข้า 19,528 ล้านดอลลาร์ เกินดุลการค้ากว่า 35,427 ล้านดอลลาร์
นายกฯ ให้การบ้านทูตไทย :
เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบายบันทึกวีดิทัศน์ในพิธีเปิดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจําปี 2568 ภายใต้หัวข้อ “การทูตเชิงรุกที่ตอบโจทย์ประชาชน: จากนโยบายสู่การปฏิบัติ”
สำหรับการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลกระหว่างวันที่ 8-14 มิ.ย.2568 ที่กรุงเทพฯ มีเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่อุปทูตขและรักษาการกงสุลใหญ่เข้าร่วม 100 คน จากสถานเอกอัครราชทูต 64 แห่ง สถานกงสุลใหญ่ 29 แห่ง คณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การระหว่างประเทศ 4 แห่ง และสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย 1 แห่ง
นายกฯ ระบุว่า โลกกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญสู่โครงสร้างโลกแบบหลายขั้วอำนาจ (Multipolar world) ขอให้ร่วมกันกำหนดให้ไทยวางยุทธศาสตร์เพื่อให้ไทยและประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด โดยกำชับว่าภายใต้บริบทปัจจุบันไทยต้องเน้น 2 เรื่อง
1.การเสริมสร้างและต่อยอดจุดแข็งของประเทศ 2.แสวงหาและช่วงชิงโอกาสใหม่ภายใต้ความท้าทายได้อย่างฉับไวและทันท่วงที
สั่งทูตหาโอกาสจากสงครามการค้า :
“สงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี และการแบ่งแยกห่วงโซ่อุปทานยังเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับไทย รัฐบาลให้ความสำคัญกับการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก โดยเฉพาะการเร่งทำเอฟทีเอเพื่อรักษาโอกาสขับเคลื่อนเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจภาคการส่งออกโดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหาร และภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยว”
รวมทั้งใช้โอกาสนี้สตาร์ทเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ผ่านการดึงการลงทุนในซัพพลายเชนอุตสาหกรรมเป้าหมายและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น เซมิคอนดักเตอร์ แบตเตอรีรถไฟฟ้า ยานยนต์แห่งอนาคต อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดิจิทัลและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เอไอ เคมี ชีวภาพ
“ขอให้กำหนดแนวทางและกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนการต่างประเทศตามนโยบายรัฐบาลเพื่อให้ไทยยังเป็น relevant player ในประชาคมโลก”
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเสริมว่า โลกเปลี่ยนโครงสร้างเป็นแบบหลากหลายขั้วมีสหรัฐ-จีนเป็นมหาอำนาจหลัก แต่ประเทศอื่นๆ ก็มีความสำคัญมากขึ้นไทยจำต้องคำนึงถึงทุกภูมิภาค ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคตจะขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์มากกว่าหลักเกณฑ์หรือกติกาเดิม ตอนนี้ผู้เล่นไม่ได้มีแต่นักการทูต แต่ยังมีภาคเอกชนและประชาชน
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 10 มิถุนายน 2568