ส่งออกจีนสะดุด-เงินเฟ้อติดลบ รุมเร้าศก.ยักษ์เอเชีย ลุ้นเจรจาสหรัฐฯ
ส่งออกจีนเดือนพ.ค.โตต่ำกว่าคาด ขณะเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง อุปสงค์ในประเทศยังอ่อนแรง เผชิญแรงกดดันหนักจากสงครามการค้ากับสหรัฐ
เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน หลังจากข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของเดือนพฤษภาคม 2025 เผยให้เห็นสัญญาณชะลอตัวของการส่งออกและอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังเปราะบาง ท่ามกลางแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เริ่มส่งผลชัดเจนมากขึ้น โดยยอดส่งออกของจีนเติบโตเพียง 4.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งชะลอลงจาก 8.1% ในเดือนเมษายน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 5% สร้างความกังวลต่อเสถียรภาพของภาคการค้าระหว่างประเทศที่จีนพึ่งพาอย่างมาก
ที่น่าจับตาคือการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐอเมริกาหดตัวลงถึง 35% ในเดือนพฤษภาคม ถือเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดอื่นอย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสหภาพยุโรปยังคงมีทิศทางบวก โดยเฉพาะการค้ากับประเทศอย่างไทย เวียดนาม และเยอรมนี อย่างไรก็ดี ภาพรวมยังไม่อาจชดเชยการหดตัวจากตลาดสหรัฐฯ ที่เป็นคู่ค้าอันดับต้นๆ ได้
ด้านการนำเข้า จีนมีมูลค่าการนำเข้าลดลง 3.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งถือเป็นการชะลอตัวมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะลดเพียง 0.9% เท่านั้น การนำเข้าพลังงาน เช่น น้ำมันดิบ ถ่านหิน รวมถึงวัตถุดิบอุตสาหกรรมอย่างแร่เหล็กต่างลดลงทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่าภาคการผลิตและอุปสงค์ภายในประเทศยังคงอ่อนแรงต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน จีนยังต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่ติดลบ โดยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 3.3% ซึ่งถือเป็นระดับการหดตัวที่ลึกที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ก็ยังติดลบ 0.1% เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน สะท้อนถึงปัญหาความเชื่อมั่นและกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างแท้จริงในหมู่ประชาชนชาวจีน
ท่ามกลางแรงกดดันเหล่านี้ รัฐบาลจีนเริ่มขยับเพื่อประคองเศรษฐกิจ โดยธนาคารกลางจีนได้ประกาศแผนปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 500,000 ล้านหยวน เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและบรรเทาผลกระทบจากภาวะชะลอตัว ขณะที่ตลาดหุ้นตอบรับมาตรการดังกล่าวในระดับหนึ่ง โดยดัชนี CSI300 ขยับขึ้น 0.29% และ Shanghai Composite ปรับขึ้น 0.43%
ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเจรจาทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ รอบใหม่มีกำหนดจะจัดขึ้นที่กรุงลอนดอน โดยมีวาระสำคัญเกี่ยวกับการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีระดับสูง รวมถึงวัตถุดิบหายาก (rare earths) และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งล้วนเป็นหัวใจของการแข่งขันเชิงอุตสาหกรรมในอนาคต
สถานการณ์ในขณะนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจจีน ที่กำลังเผชิญกับแรงเสียดทานทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ หากการส่งออกยังคงอ่อนแรงในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่อุปสงค์ในประเทศไม่สามารถฟื้นตัวได้ทันเวลา ความเสี่ยงของการเข้าสู่ภาวะดีเฟลชันเต็มรูปแบบอาจกลายเป็นจริงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจโลกและห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความเคลื่อนไหวของจีนจากนี้ไป ไม่ว่าจะเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือท่าทีต่อการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ จะกลายเป็นประเด็นที่ทั่วโลกต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงที่โลกกำลังเปราะบางจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวพร้อมกันในหลายภูมิภาค
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 9 มิถุนายน 2568