เกาหลีใต้ภายใต้ ปธน. "อี แจ-มยอง" ยุคทองรอบสองของวัฒนธรรม Hallyu
ชัยชนะของ "อี แจ-มยอง" ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้เมื่อเร็วๆ นี้ กำลังจุดกระแส "ยุคทองรอบสอง" ของวัฒนธรรม Hallyu ขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะที่เศรษฐกิจโดยรวมของเกาหลีใต้เริ่มแผ่ว เพราะปัญหาประชากรและการเติบโตที่ชะลอตัว "ฮันรยู" (Hallyu) หรือคลื่นความนิยมเกาหลีจากป็อปคัลเจอร์ต่างๆ กลับไม่เคยหยุดโต และตอนนี้มันกำลังเข้าสู่ “ภาคต่อ” ที่น่าตื่นเต้นภายใต้ประธานาธิบดีคนใหม่ “อี แจ-มยอง”
การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุดกลายเป็นอีกหนึ่งเวทีโชว์ K-pop เพราะทั้งสองพรรคใหญ่ต่างหยิบยกเอาเพลงฮิตมาใช้เป็นอาวุธลับในการปลุกพลังคนดู คนฟัง และคนลงคะแนน สร้างบรรยากาศงานหาเสียงให้เป็นเหมือนงานแฟนมีตขนาดย่อม
ฝั่งพรรคประชาธิปไตย (Democratic Party) ของอี แจ-มยอง ส่งทีม “Shouting Korea” จำนวน 48 คน ตระเวนทั่วประเทศด้วยรถหาเสียงเคลื่อนที่ เน้นจัดกิจกรรมตามถนนใหญ่-ย่านที่มีคนพลุกพล่าน ใช้เพลงป๊อปยุค 90s ที่คนทุกเจนร้องตามได้ มาผสมกับโชว์เต้น จนบรรยากาศหาเสียงดูไม่ต่างจากมินิคอนเสิร์ต
หลังผลเลือกตั้ง ทันทีที่มีการประกาศผลว่า อี แจ-มยอง ชนะขึ้นแท่นเป็นประธานาธิบดี หุ้นของบริษัทบันเทิงเกาหลีอย่าง YG, Studio Dragon และ KidariStudio พุ่งขึ้นทันตา เพราะคำมั่นว่าจะ “เพิ่มงบประมาณด้านวัฒนธรรม” และ “ให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี” แก่อุตสาหกรรมนี้ เขาประกาศอย่างชัดเจนว่าจะดันการส่งออกวัฒนธรรมให้ไปแตะ 50 ล้านล้านวอนภายในปี 2030 (มากกว่า 3 เท่าของตัวเลขในปี 2023)
นอกจากวงการ K-entertainment แล้ว อี แจ-มยอง ระบุว่าเว็บตูน อาหาร เครื่องสำอาง แฟชั่น และ e-Sports จะกลายเป็นเสาหลักของ “K-culture Economy” ชุดใหม่ ที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือสร้างภาพลักษณ์อีกต่อไป แต่คือหนึ่งในฐานรากของเศรษฐกิจชาติ
นโยบายของอี แจ-มยอง ต่ออุตสาหกรรมบันเทิงไม่ได้หยุดอยู่แค่คำสวยๆ เพราะเริ่มเห็นแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้น ทั้งเรื่องการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับค่ายเพลง ค่ายละคร และแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง การตั้งกองทุนร่วมระหว่างรัฐกับเอกชนเพื่อพัฒนา IP คอนเทนต์ ไปจนถึงการดัน K-content ขึ้นเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของประเทศ เคียงบ่าเคียงไหล่อุตสาหกรรมอย่าง AI กับเซมิคอนดักเตอร์
ทั้งหมดนี้ส่งแรงกระเพื่อมไปถึงตลาดหุ้นแบบทันตาเห็น นักลงทุนที่เคยถอยห่างช่วงเศรษฐกิจโลกซึมๆ กลับเข้ามาแห่ซื้อหุ้นบริษัทบันเทิงกันอีกรอบ เพราะมองออกแล้วว่าอุตสาหกรรมนี้ไม่โดนผลกระทบจากสงครามการค้า มีโอกาสทำกำไรได้ยาว และที่สำคัญคือกระแสของ K-pop และซีรีส์เกาหลียังมาแรงทั่วโลกแบบไม่มีทีท่าจะตก
นอกจากนี้ รัฐบาลชุดใหม่ก็เริ่มลงมือแก้ปัญหาที่ค้างคามานาน ไม่ว่าจะเป็นความไม่มั่นคงของแรงงานในวงการ ความล้าหลังของกฎหมายลิขสิทธิ์ หรือการที่แพลตฟอร์มท้องถิ่นสู้เจ้าใหญ่ระดับโลกอย่าง Netflix ยังไม่ได้
อีกประเด็นที่น่าจับตามองไม่แพ้เรื่องงบประมาณ ก็คือแนวนโยบายต่างประเทศที่หลายฝ่ายมองว่า “ยืดหยุ่นและปฏิบัตินิยม” มากกว่าท่าทีแข็งกร้าว ซึ่งจุดนี้เองทำให้หลายคนเริ่มมีความหวังว่า “Hallyu Ban” หรือคำสั่งห้ามคอนเทนต์เกาหลีแบบไม่เป็นทางการที่จีนใช้มาตั้งแต่ปี 2016 อาจจะถูกยกเลิกในไม่ช้า เพราะบรรยากาศความตึงเครียดระหว่างสองประเทศนี้เริ่มผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
บรรดาค่ายบันเทิงเกาหลีก็ไม่รอให้โอกาสวิ่งเข้ามาหา เริ่มเดินเกมรุกไปก่อนแล้ว อย่าง HYBE (ค่ายของ BTS) ได้เปิดบริษัทลูกในปักกิ่ง ขณะที่ Tencent จากฝั่งจีนก็เข้ามาซื้อหุ้น SM Entertainment จนขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสอง รองจาก Kakao กลุ่มทุนเกาหลี แม้จะมีเสียงเตือนเรื่องทุนจีนและอิทธิพลต่างชาติ แต่หลายฝ่ายก็มองว่า นี่อาจเป็นจังหวะทองในการรีเทิร์นสู่ตลาดจีนที่ใหญ่โตมหาศาล มีผู้ใช้งานมากกว่า 1 พันล้านคน
ประวัติศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าเกาหลีใต้มีศักยภาพในการปรับตัวและลุกขึ้นใหม่จากทุกวิกฤต แต่สิ่งที่จะเป็นตัวตัดสินในครั้งนี้ คือผู้นำทางการเมือง จะสามารถนำพาประเทศไปสู่การเป็น “ศูนย์กลางวัฒนธรรมและนวัตกรรม” บนเวทีโลกต่อไปอย่างไร
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 12 มิถุนายน 2568