เจาะรายงาน "เวิลด์แบงก์" 4 มรสุมเศรษฐกิจโลกพัดถล่มไทย
KEY POINTS
* World Bank ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของ "ประเทศไทย" ในปี 2568 เหลือ 1.8% เช่นเดียวกับ IMF ที่คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยโต 1.8%
* ไทยเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากภาวะการเงินโลกที่ตึงตัวขึ้น กังวลเงินทุนไหลออก-บาทอ่อนค่า จำกัดแบงก์ชาติลดดอกเบี้ย
* มอง Digital Wallet กลไกสำคัญสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น
* ไทยมีภาคการผลิตพึ่งพาการส่งออก กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงเป็นพิเศษจากความตึงเครียดทางการค้า
ธนาคารโลก (World Bank) ออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก หรือ Global Economic Prospects ฉบับล่าสุดในวันที่ 10 มิ.ย. 2568 โดยปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกลง เหลือโต 2.3% จากที่เคยคาดไว้ว่าจะโต 2.7% ในประมาณการครั้งก่อน
รวมทั้ง World Bank ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของ "ประเทศไทย" ในปี 2568 เหลือ 1.8% โดยเป็นการลดลงถึง 1.1% จากรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฉบับต้นปีในเดือนม.ค. จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศตลาดเกิดใหม่ และประเทศกำลังพัฒนา (EMDEs)

ก่อนหน้านี้ World Bank ได้ออกรายงาน East Asia and Pacific Economic Update ฉบับเดือนเม.ย. ซึ่งได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในขณะนั้นเหลือ 1.6% ในปี 2568 และ 1.8% ในปี 2569 ก่อนที่จะปรับคาดการณ์ของไทยขึ้นมาเล็กน้อยในรายงานปัจจุบัน Global Economic Update ฉบับเดือนมิ.ย.
วันนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” รวม 4 ประเด็นสำคัญในรายงานที่ธนาคารโลกมองว่าเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง สำหรับประเทศไทย
เงินทุนไหลออก-บาทอ่อนค่า-ภาระหนี้เพิ่ม :
ไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่สำคัญจากภาวะการเงินโลกที่ตึงตัวขึ้น เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคสิ่งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาหุ้นทั่วภูมิภาคดิ่งลงอย่างรุนแรง และสกุลเงินท้องถิ่นอ่อนค่าลงอย่างมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งอาจนำไปสู่เงินทุนไหลออกจากประเทศ และอาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
ปัจจัยเหล่านี้จะจำกัดขอบเขตของธนาคารกลางในภูมิภาครวมถึงไทย ในการปรับ “ลดอัตราดอกเบี้ย” เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ และบรรเทาผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้า
นอกจากนี้ ต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มภาระในการชำระหนี้ให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีระดับหนี้สูงอยู่แล้ว ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อสถานะทางการคลังของประเทศ ซึ่งไทยมีระดับหนี้รัฐบาลสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2010-2019

ดิจิทัลวอลเล็ต หนุนเศรษฐกิจโต :
ในปีนี้ ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า “นโยบายการคลัง” จะเป็นกลไกสำคัญที่จะประคับประคองและสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในบริบทที่ต้องรับมือกับความตึงเครียดทางการเงินและเศรษฐกิจโลกที่ท้าทายในระยะสั้น จากโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต” (Digital Wallet) ที่คาดว่าจะครอบคลุมประชากรราว 45 ล้านคน โดยไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในภูมิภาคที่ดำเนินนโยบายการคลังขยายตัว ต่างจากประเทศอื่นที่ดำเนินนโยบายรัดเข็มขัดทางการคลัง
มรสุมการค้าโลกกระทบไทย เสี่ยงถูกซ้ำเติมจาก “สินค้าจีน” :
อาเซียนกำลังเผชิญกับความเสี่ยงด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง จากความตึงเครียดทางการค้าที่กลับมาอีกครั้ง ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้อุปสงค์ที่ลดลงจากเศรษฐกิจหลักๆ ทั่วโลก ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งการเติบโตของภูมิภาคนี้
ประเทศที่มีภาคการผลิตที่พึ่งพาการส่งออก เช่น จีน มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงเป็นพิเศษจากสถานการณ์ดังกล่าว
ยิ่งไปกว่านั้น การที่จีนอาจต้องหันไปส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่นนอกเหนือจากสหรัฐ ก็อาจทำให้ประเทศเหล่านั้นต้องออกมาตรการกีดกันทางการค้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในของตนเอง ซึ่งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เราได้เห็นตัวอย่างชัดเจนจาก มาเลเซียและเวียดนามที่เริ่มเก็บภาษีผลิตภัณฑ์เหล็ก ตามรอยประเทศอื่นๆ เช่น บราซิล อินเดีย และเกาหลีใต้ สถานการณ์เช่นนี้อาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจไทยและประเทศในภูมิภาคได้
นอกจากนี้ ไทยและเศรษฐกิจอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตะวันออก ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้นำเข้าพลังงาน ยังคงมีความเสี่ยงเป็นพิเศษต่อความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น หากความขัดแย้งเหล่านี้รุนแรงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่ออุปทานพลังงานทั่วโลกและทำให้ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความเสี่ยงภัยพิบัติทางธรรมชาติรุนแรงขึ้น :
ไทยได้เผชิญความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพายุโซนร้อนที่มีความรุนแรง ซึ่งปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งภัยพิบัติเหล่านี้ไม่เพียงแต่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมหาศาลอีกด้วย
จากความเสียหายอย่างมหาศาลที่เกิดจากแผ่นดินไหวรุนแรงในเมียนมาร์และประเทศไทยในช่วงปลายเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ตอกย้ำถึงความจำเป็นที่ไทยจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติเหล่านี้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง
IMF คาดปีนี้เศรษฐกิจไทยโต 1.8% :
ไม่ใช่แค่เวิลด์แบงก์เท่านั้นออกประกาศลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยก่อนหน้านี้ รายงานกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เผยแพร่รายงานอัปเดตแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (WEO) ฉบับล่าสุดในวันที่ 22 เม.ย. สำหรับ "ประเทศไทย" คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 1.8% ในปี 2568 ซึ่งลดลงมากจากคาดการณ์เดิมในเดือน ม.ค. ซึ่งไอเอ็มเอฟให้ไว้ที่ 2.9% เป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดในอาเซียนตามการประมาณการณ์ของ IMF

IMF เตือนว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ จากความตึงเครียดของการค้าโลก และความแตกแยกทางภูมิเศรษฐกิจที่ยกระดับขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อภาคการส่งออก และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวน และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศที่รุนแรงที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม
ส่วนปัจจัยภายในมาจาก ความเสี่ยงหนี้ครัวเรือนที่มีสัดส่วนค่อนข้างสูง ซึ่งอาจกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจขัดขวางการดำเนินนโยบายและบั่นทอนความเชื่อมั่นเช่นกัน
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 12 มิถุนายน 2568