เจาะโอกาส OECD-BRICS-FTA ไทย-อียู ความเป็นจริงเพื่อปากท้องประชาชน
กระทรวงการต่างประเทศจัดเวทีคู่ขนานให้ข้อมูลสื่อมวลชนนอกรอบการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญทั่วโลก ในหัวข้อ "การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก (OECD, BRICS, EU FTA)" ชี้ให้เห็นประโยชน์ของการเป็นสมาชิกหลายกรอบความร่วมมือ ที่สุดท้ายแล้วย่อมตกถึงประชาชนโดยตรง
ผู้ร่วมให้ข้อมูลประกอบด้วย นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ เอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส, นางกาญจนา ภัทรโชค เอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์, นายศศิวัฒน์ ว่องสินสวัสดิ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก, นางสาวกุนทินี อักษรวงศ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงบราซิเลีย และนายไพสิฐ บุญปาลิต อุปทูต ณ กรุงพริทอเรีย
องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) :
การตัดสินใจของรัฐบาลไทยที่สมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD สําคัญมาก จะนําไปสู่ผลการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยในระยะยาว OECD มีสมาชิก 38 ประเทศ ส่วนใหญ่เป็นประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว รายได้สูง มีค่านิยมคล้ายคลึงกัน
"การเข้าร่วมโออีซีดีไม่ใช่เรื่องง่าย ผ่านมาสองรัฐบาล สามนายกฯ แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทย" หลังจากประเมินแล้วว่าการเข้าเป็นสมาชิก OECD จะช่วยเพิ่มจีดีพีของไทย ยกระดับกฎระเบียบ สร้างความโปร่งใส สร้างความอยู่ดีกินดีของประชาชน เพราะว่านโยบายของ OECD คือ Better Policies for Better Lives
อย่างไรก็ตาม การจะเป็นสมาชิก OECD ได้ต้องใช้เวลาปรับเปลี่ยนกฎหมาย กฎระเบียบภายในของไทยซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อทำได้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อประเทศชาติ ประชาชน และภาพลักษณ์ของไทย ประโยชน์ที่ว่าได้แก่ การได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้สูง, ยกระดับมาตรฐานไทยในหลายด้าน, ไทยสามารถมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายที่ทันสมัย
OECD เองก็ได้ประโยชน์จากไทย เนื่องจากสมาชิกส่วนใหญ่เป็นประเทศตะวันตก ถ้าอยากให้กฎระเบียบเป็นมาตรฐานโลก OECD ก็ต้องเข้าใจประเทศอื่นๆ ด้วยซึ่งไทยทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมนี้ได้
ข้อตกลงการค้าเสรีไทย-อียู :
ปัจจุบันไทยกําลังเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับสหภาพยุโรป (อียู) หน่วยงานที่เป็นหัวหน้าคณะเจรจาคือกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งทํางานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงการต่างประเทศ
เอฟทีเอไทย-อียู สําคัญมาก สังเกตได้จากเวียดนามกำลังเป็นที่โปรดปรานของประเทศตะวันตกมากเพราะทำเอฟทีเอกับอียูมาครบห้าปีแล้ว ส่งผลให้การค้าเพิ่มขึ้น 40% ถือเป็นแต้มต่อที่สำคัญ คนที่เข้าไปทำการค้าการลงทุนในเวียดนามเพื่อส่งสินค้าไปขายยังอียู 27 ประเทศย่อมมีแต้มต่อด้านภาษี
ด้วยเหตุนี้รัฐบาลไทยจึงให้ความสำคัญกับการเจรจาเอฟทีเอกับอียู โดยเจรจากันไปแล้ว 5 รอบ สำเร็จไปแล้ว 4 บท จาก 23 บท รอบต่อไปจะเจรจากันที่เมืองไทย ในวันที่ 23 มิ.ย. ซึ่งไทยประกาศไปแล้วว่าจะเจรจาให้สำเร็จภายในสิ้นปีนี้ ถือเป็นการตั้งความทะเยอทะยานทางการเมืองของไทย ขณะที่ในระดับการเมืองของอียูก็รู้สึกเช่นกันว่าต้องการหาพันธมิตรประเทศอื่น ในช่วงที่ความสัมพันธ์ข้ามแอตแลนติกกับสหรัฐไม่เหมือนเดิม
ในอาเซียน อียูมีข้อตกลงการค้าเสรีกับสิงคโปร์และเวียนามไปแล้ว ปัจจุบันกำลังเจรจากับ 4 ประเทศ คือมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และไทย รัฐบาลจึงต้องทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ผู้บริหารชุดใหม่ของอียูก็เร่งรัดในเรื่องนี้
ต่อกรณีที่ไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสิทธิมนุษยชนในช่วงที่ผ่านมา และมีข่าวลือเรื่องแนวโน้มการเปลี่ยนรัฐบาลด้วยวิธีนอกระบอบประชาธิปไตยอยู่เสมอ คณะทูตอธิบายว่า แท้จริงแล้วอียูมองไทยเป็นพันธมิตรทางค่านิยม มีค่านิยมร่วมกัน เมื่อทราบว่าไทยสมัครเป็นสมาชิก OECD อียูแจ้งว่า พร้อมสนับสนุน ซึ่งเมื่อไทยเข้าเป็นสมาชิกได้ก็ต้องยึดมั่นในค่านิยมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน เป็นการพัฒนาไทยไปในตัว
BRICS :
เป็นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีหัวจิตหัวใจเดียวกันในการเป็นกลุ่มประเทศโลกใต้ (Global South) รัฐบาลชุดนี้มุ่งมั่นผลักดันอย่างเต็มที่ให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก BRICS ถือเป็นทางเลือกของสถานการณ์โลกที่ไทยจะหาเพื่อนใหม่ และน่ายินดีว่าสมาชิก BRICS ส่วนใหญ่ยอมรับไทย
ขณะนี้ไทยอยู่ในสถานะประเทศหุ้นส่วนของ BRICS การตัดสินใจในกลุ่มใช้หลักฉันทามติและเจ้าภาพมีบทบาทสูง ปีนี้บราซิลเป็นเจ้าภาพต้องการสร้างความเข้มแข็งให้กับ BRICS ยังไม่มีวาระรับสมาชิกใหม่ ไทยอาจต้องรอจนถึงปีหน้ากว่าจะได้เป็นสมาชิกเต็มตัว กระนั้นการประชุมที่บราซิลได้เชิญไทยเข้าร่วมเกือบทุกรายการ
ส่วนข้อกังวลที่ว่า การเข้าเป็นสมาชิก BRICS อาจเหมือนการเลือกข้างในการเมืองโลก คณะทูตอธิบายว่า ไทยสมัครเป็นสมาชิก OECD ก่อนระหว่างนั้นมีข่าวว่า ไทยสมัครเป็นสมาชิก BRICS ด้วย จึงมีคนเข้ามาสอบถามกับเอกอัครราชทูตที่เกี่ยวข้อง แต่ในที่สุดก็ไม่ได้เป็นประเด็นแต่อย่างใด OECD มีวุฒิภาวะและเข้าใจว่าไทยเข้าเป็นสมาชิก BRICS ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจไม่ใช่ทางการเมือง
เพื่อปากท้องประชาชน :
คณะทูตสรุปว่า ในภาพรวมทั้งสามกลุ่มไม่ใช่เวที talk shop แค่เข้าไปพูดๆ แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าดูวาระนโยบายของทั้งสามกลุ่ม เห็นได้ว่าเป็นเรื่องปากท้องของของประชาชน เกี่ยวข้องกับภาคเอกชนของของไทยโดยตรง
"นี่ไม่ใช่ policy option ไม่ใช่ทางเลือกในแง่นโยบายอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นความจริงด้านการต่างประเทศที่เรากําลังดําเนินการเพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง"
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 13 มิถุนายน 2568