"ผู้ส่งออกไทย" เผชิญต้นทุนเพิ่มเฉียด 2 หมื่นล้านบาท จากการจราจรติดขัดในท่าเรือ
"ผู้ส่งออกไทย" เผชิญต้นทุนค่าขนส่งทางเรือเพิ่มขึ้นเฉียด 2 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 600 ล้านดอลลาร์ หลัง "ธุรกิจ" เร่งส่งสินค้าทำการจราจรบริเวณท่าเรือติดขัด
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (12 มิ.ย.) ว่า ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าไทยเสี่ยงต้องแบกรับต้นทุนโลจิสติกส์เพิ่มขึ้นกว่า 600 ล้านดอลลาร์ต่อปี หรือประมาณ 2 หมื่นล้านบาท จากปัญหาการจราจรติดขัดที่ท่าเรือน้ำลึกหลักของประเทศที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขนส่งสินค้าก่อนที่อัตราภาษีสหรัฐจะปรับเพิ่มขึ้นสูง
"สภาผู้ส่งออกแห่งประเทศไทย" เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดที่เพิ่มขึ้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี หลังจาก "สมาพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย" ประกาศแผนเพิ่มค่าขนส่งทางรถบรรทุกเริ่มเดือน ก.ค. ตามแถลงการณ์เมื่อวานนี้
การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของคำสั่งซื้อสินค้าส่งออก ซึ่งเกิดจากการหยุดชั่วคราว 90 วันของภาษีสูงที่ฝ่ายบริหารทรัมป์เสนอในเดือน เม.ย. ส่งผลให้การส่งออกไทยเพิ่มขึ้น 14% ในช่วง 4 เดือนแรกของปี การเติบโตของการส่งออกช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่อ่อนแอจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงและการบริโภคภาคในประเทศที่ชะลอตัว
เวลารอคอยของรถบรรทุกที่ท่าเรือเพิ่มขึ้นเป็น 20 ชั่วโมงต่อเที่ยวในช่วงเวลาเร่งด่วน เพิ่มขึ้นจากประมาณ 8-10 ชั่วโมงในอดีต กลุ่มผู้ส่งออกประมาณการว่าต้นทุนโลจิสติกส์จะเพิ่มขึ้น 2 หมื่นล้านบาท (ประมาณ 616.5 ล้านดอลลาร์) ต่อปีเมื่ออัตราค่าขนส่งที่สูงขึ้นมีผลบังคับใช้
สภาผู้ส่งออกระบุในแถลงการณ์ว่า
"ความเสียหายทางเศรษฐกิจในระดับนี้มีนัยสำคัญเกินไปที่รัฐบาลจะเพิกเฉยหรือปล่อยให้ภาคเอกชนจัดการเพียงฝ่ายเดียว สถานการณ์นี้ไม่เพียงขัดขวางความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกไทย แต่ต้นทุนโลจิสติกส์ที่เพิ่มขึ้นจะถูกส่งผ่านไปยังผู้บริโภคไทยผ่านราคาสินค้าและบริการที่สูงขึ้น"
การจราจรติดขัดที่ท่าเรือเกิดจากปัจจัยหลายประการรวมกัน ได้แก่ จำนวนเรือที่ลดลง ความจุเกินกำลัง โครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟและถนนที่ไม่เพียงพอ ขั้นตอนการกำกับดูแลที่ยาวนาน และการจัดการคิวรถบรรทุกที่ไม่มีประสิทธิภาพ สภาผู้ส่งออกเรียกร้องให้รัฐบาลจัดตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาในระดับนโยบายและลงทุนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่ท่าเรือ
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 12 มิถุนายน 2568