ราคาน้ำมันโลกพุ่งวันเดียว 14% หลังอิสราเอลถล่มแหล่งพลังงานอิหร่าน
ราคาน้ำมันโลกพุ่งแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังอิสราเอลเปิดฉากโจมตีโครงสร้างพลังงานอิหร่าน ส่อกระทบเส้นทางขนน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ
ในห้วงเวลาที่โลกกำลังหาทางฟื้นตัวจากผลกระทบของสงคราม รัสเซีย-ยูเครน และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้นถึง 14% ภายในวันเดียว ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนอีกครั้งต่อระบบเศรษฐกิจโลก
หลังอิสราเอลเปิดฉากโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของอิหร่าน ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกสำคัญของโอเปก และมีบทบาทสำคัญในตลาดพลังงานของโลก
เหตุการณ์เริ่มต้นจากปฏิบัติการ “สิงโตผงาด” ของอิสราเอล เมื่อวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน ที่ยิงจรวดโจมตีแหล่งก๊าซธรรมชาติ South Pars ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่นอกชายฝั่งจังหวัดบุชเชห์ของอิหร่าน
การโจมตีครั้งนี้ทำให้เกิดเพลิงไหม้และส่งผลให้การผลิตบางส่วนต้องหยุดชะงัก แม้ว่าทางการอิหร่านจะยืนยันว่าสิ่งอำนวยความสะดวกในการกลั่นและคลังเก็บน้ำมันยังคงทำงานได้ตามปกติ แต่ความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของภูมิภาคก็ได้สั่นคลอนแล้ว
ตลาดน้ำมันตอบสนองในทันที ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสของสหรัฐ ปิดที่ 72.98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 4.94 ดอลลาร์ หรือ 7.62% โดยระหว่างวันราคาพุ่งขึ้นมากกว่า 14% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 21 มกราคม ที่ 77.62 ดอลลาร์ ซึ่งสูงขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าถึง 13%
ขณะที่ราคาน้ำมันเบรนต์ทะยานขึ้นเช่นเดียวกัน ทำให้ภาพของสงครามที่อาจลุกลามกลายเป็นแรงกดดันใหม่ต่อเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง
การที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมง ไม่ใช่เพียงเพราะความเสียหายทางกายภาพเท่านั้น หากแต่เป็นผลมาจาก “ความไม่แน่นอน” ซึ่งตลาดการเงินโลกมักไม่อาจรับมือได้ดี ความกังวลว่าสงครามระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลอาจลุกลามกลายเป็นสงครามภูมิภาคที่กินวงกว้าง กำลังส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนด้านพลังงานโดยตรง
ที่น่าจับตาอย่างยิ่งคือคำขู่ของอิหร่านที่จะปิด “ช่องแคบฮอร์มุซ” ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือขนส่งน้ำมันที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยในแต่ละวันมีน้ำมันไหลผ่านเส้นทางนี้มากถึง 18–19 ล้านบาร์เรล หรือราว 20% ของอุปสงค์น้ำมันโลก
หากช่องแคบนี้ถูกปิด ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อราคาน้ำมันที่พุ่งทะยานเกินควบคุมเท่านั้น แต่ยังอาจกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศต่างๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะลูกค้ารายใหญ่ของอิหร่านอย่างจีน อินเดีย และญี่ปุ่น
แม้ผู้ผลิตรายใหญ่อย่างซาอุดีอาระเบียและรัสเซียจะมีปริมาณสำรองที่อาจช่วยบรรเทาผลกระทบชั่วคราวได้บ้าง แต่การหดตัวของซัพพลายจากอิหร่านในระดับมากกว่า 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ยังเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ในมุมมองเชิงยุทธศาสตร์ การโจมตีโครงสร้างพลังงานครั้งนี้ ตอกย้ำความจริงที่ว่า “พลังงาน” ไม่ได้เป็นเพียงสินค้าโภคภัณฑ์อีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สามารถพลิกเกมได้ในทันที การที่ประเทศใดสามารถควบคุมการส่งออกหรือปิดกั้นเส้นทางเดินเรือ ก็อาจมีอิทธิพลพอที่จะเปลี่ยนดุลอำนาจทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันทั้งสองประเภทนี้ ถือเป็นการเคลื่อนไหวรายวันที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครนในปี 2022
อย่างไรก็ดี เพียงไม่นานหลังการซื้อขายน้ำมันจบลงในวันศุกร์ อิหร่านก็เริ่มการโจมตีตอบโต้กลับด้วยขีปนาวุธจำนวนมาก ขณะที่อิสราเอลก็เริ่มหันมาโจมตีแหล่งพลังงานในอิหร่านเช่นกัน
บริษัทน้ำมันแห่งชาติของอิหร่าน (National Iranian Oil Refining and Distribution Company) แถลงว่าสิ่งอำนวยความสะดวกในการกลั่นและเก็บน้ำมันไม่ได้รับความเสียหาย และยังคงดำเนินการได้ตามปกติ
อิหร่าน ซึ่งเป็นสมาชิกขององค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ผลิตน้ำมันประมาณ 3.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) และส่งออกมากกว่า 2 ล้าน bpd ของน้ำมันและเชื้อเพลิง นักวิเคราะห์ระบุว่า โอเปกและพันธมิตร เช่น รัสเซีย มีปริมาณสำรองเพียงพอที่จะชดเชยการหยุดชะงักในปริมาณดังกล่าว
การปะทะกันยังทำให้เกิดความกังวลว่า “ช่องแคบฮอร์มุซ” ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือน้ำมันที่สำคัญ อาจได้รับผลกระทบ เพราะราว 1 ใน 5 ของการบริโภคน้ำมันทั่วโลก หรือราว 18–19 ล้านบาร์เรลต่อวัน ถูกส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ
ทั้งนี้ พลเอกเอสมาอิล โคซารี ของอิหร่าน กล่าวเมื่อวันเสาร์ว่า เตหะรานกำลังพิจารณาปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญในการส่งน้ำมันออกจากอ่าวเปอร์เซีย
ทั้งนี้ ธนาคาร Rabobank ระบุว่า ซาอุดีอาระเบีย คูเวต อิรัก และอิหร่าน ต่างก็ต้องพึ่งพาช่องทางแคบฮอร์มุซในการส่งออกน้ำมัน ด้านนักวิเคราะห์จาก JP Morgan มองว่า อิหร่านพึ่งพาการขนส่งทางเรืออย่างมาก การปิดช่องแคบฮอร์มุซจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของอิหร่านเอง ตลอดจนส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับจีนซึ่งเป็นลูกค้าน้ำมันหลักของอิหร่านด้วย
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 15 มิถุนายน 2568