จับตาประชุมเฟด จ่อคงดอกเบี้ยรอบใหม่ สวนกระแสกดดันจาก "ทรัมป์"
KEY POINTS
* ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มสูงที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิมในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินระหว่างวันที่ 17-18 มิ.ย.นี้
* ทั้งปีที่ผ่านมา Fed คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงกว่าปกติเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และยังไม่ปรับลด เนื่องจากกังวลว่าภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจทำให้ราคาสินค้าสำหรับผู้บริโภคพุ่งสูงขึ้น
* ทรัมป์วิจารณ์ Fed ซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ไม่ยอมลดดอกเบี้ย และอาจกลับมากดดันอีกครั้ง หากคงดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาด
ธนาคารกลางสหรัฐฯ น่าจะยังยึดมั่นในแนวทางรอดูท่าทีต่อไปในการประชุมสัปดาห์หน้า ซึ่งอาจทำให้เกิดแรงปะทะกับทำเนียบขาว โดยมีแนวโน้มอย่างมากที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิมในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ซึ่งอาจยิ่งทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่พอใจ หลังจากที่เขาเรียกร้องให้ Fed ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของทำเนียบขาว ลดอัตราดอกเบี้ยลงหลายต่อหลายครั้ง
เมื่อปลายวันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินประเมินโอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ยในเดือนนี้อยู่เพียง 3% จากข้อมูลของเครื่องมือ FedWatch ของ CME Group ซึ่งคาดการณ์ทิศทางดอกเบี้ยจากการซื้อขายฟิวเจอร์สดอกเบี้ยของ Fed
Fed ชั่งน้ำหนักผลกระทบจากภาษีนำเข้า
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของ Fed แสดงความลังเลที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากระดับสูงในปัจจุบัน เนื่องจากกังวลว่าภาษีของทรัมป์จะจุดชนวนเงินเฟ้อให้กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง ทั้งที่เงินเฟ้อลดลงมาใกล้ระดับเป้าหมายของ Fed ที่ 2% ต่อปี หลังจากพุ่งขึ้นอย่างมากในช่วงหลังการระบาดใหญ่
ทรัมป์เองก็วิจารณ์ Fed อย่างหนักที่ไม่ยอมลดดอกเบี้ยในปีนี้ ถึงขั้นเคยเรียกประธาน Fed นายเจอโรม พาวเวลล์ ว่าเป็น “คนโง่”
อัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่ต่ำลงอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการจ้างงาน แต่ในขณะเดียวกันก็อาจลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อลงด้วย
แม้เจ้าหน้าที่ Fed จะอยู่ในช่วงไม่แสดงความเห็นต่อสาธารณะก่อนการประชุม แต่ก่อนหน้านั้น สมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ Fed ต่างระบุว่า ต้องการรอดูว่าเศรษฐกิจจะตอบสนองต่อภาษีของทรัมป์อย่างไรก่อนจะตัดสินใจปรับนโยบาย
ภาษีนำเข้าเหล่านี้ถือเป็นภัยคุกคามสองทางต่อเป้าหมายคู่ของ Fed ในการควบคุมเงินเฟ้อและรักษาระดับการจ้างงานสูง เพราะนอกจากจะอาจดันราคาสินค้าให้แพงขึ้นแล้ว ยังอาจส่งผลลบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงาน
หากเงินเฟ้อกลายเป็นปัญหาสำคัญกว่า Fed อาจต้องคงดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปอีก หรือในทางกลับกัน หากตลาดแรงงานเริ่มย่ำแย่ Fed ก็อาจปรับลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจ
ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดหนุนแนวทางคงดอกเบี้ย :
ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดชี้ให้เห็นว่าตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง และเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับเย็น ซึ่งให้เหตุผลแก่ Fed ในการชะลอการดำเนินนโยบายต่อไป นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า
ไมเคิล เฟอโรลี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สหรัฐฯ ของ JPMorgan Chase กล่าวในบทวิเคราะห์ ว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดใน FOMC ที่เรียกร้องให้เปลี่ยนนโยบาย ดังนั้นการตัดสินใจคงดอกเบี้ยน่าจะเป็นเรื่องง่าย
อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ถือเป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินนโยบายการเงินและมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจ โดยอัตรานี้ส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์ใช้ปล่อยกู้ระหว่างกัน ซึ่งจะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้รถยนต์ บัตรเครดิต และหนี้ประเภทอื่น ๆ
Fed เคยปรับลดดอกเบี้ยลงใกล้ศูนย์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินราคาถูกในช่วงการระบาดใหญ่ และปรับขึ้นต่อเนื่องจนแตะระดับสูงสุดในรอบสองทศวรรษตั้งแต่ปี 2022 เพื่อสกัดเงินเฟ้อ โดยยังคงระดับดอกเบี้ยไว้จนถึงปลายปี 2024
ปีที่แล้ว Fed เริ่มลดดอกเบี้ยเนื่องจากเงินเฟ้อเย็นตัวลง แต่ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ตั้งแต่เดือนธันวาคม หลังการเลือกตั้งของทรัมป์ซึ่งส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 16 มิถุนายน 2568