"ลงทุนรัฐ-ท่องเที่ยว" พาจีดีพีลุยไฟภาษีทรัมป์ "ทริสเรทติ้ง" โต1.8%
เศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนสูงในอนาคต เนื้่อหาส่วนหนึ่งจาก Country in Focus: Thailand จัดทำโดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด
โดยในระยะข้างหน้า ความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินนโยบายทางการค้าสหรัฐ มีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับสูง ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ เข้าสู่กระบวนการเจรจาการค้ากับสหรัฐ แต่ผลลัพธ์นั้นยากที่จะคาดเดา
ความไม่แน่นอนดังกล่าวอาจส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนเกิดความล่าช้าเพิ่มเติมและส่งผลกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชน ในกรณีที่มาตรการภาษีสหรัฐ มีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ เศรษฐกิจโลกอาจเผชิญกับการชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลทำให้ดุลการค้าของไทยแย่ลงไปอีก
นอกจากนี้ หากงบประมาณรัฐบาลปี 2569 มีความล่าช้าก็อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในเชิงลบเพิ่มเติมต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสสุดท้าย

ยิ่งไปกว่านั้น แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีของสหรัฐ ก็อาจทำให้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในสหรัฐ ล่าช้าออกไป ซึ่งจะส่งผลให้สภาวะการเงินทั่วโลกตึงตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
และนอกเหนือจากการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ แล้ว ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ก็ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโลกซึ่งอาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก ต้นทุนพลังงานเพิ่มสูงขึ้น และภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ในขณะที่การดำเนินนโยบายการเงินที่ยังมีความไม่แน่นอนของประเทศเศรษฐกิจหลักก็อาจนำไปสู่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดทุนทั่วโลกด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ภาษีนำเข้าสหรัฐ อาจส่งผลกระทบต่อการค้าของไทยโดยผ่าน 4 ช่องทางหลัก
ช่องทางแรก การส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐ จะลดลง เนื่องจากผู้ส่งออกจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากอุปสงค์ของสหรัฐ ที่ต่ำลงจากอัตราภาษีนำเข้าที่อยู่ในระดับสูง
ช่องทางที่สอง การส่งออกสินค้าไปยังจีนจะชะลอตัวซึ่งเกิดจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงจากผลกระทบของภาษีนำเข้าสหรัฐ นอกจากนี้ สินค้าส่งออกของไทย เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องจักร และอิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของจีนที่ส่งต่อไปยังสหรัฐฯ ดังนั้น ภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นที่สหรัฐ กำหนดกับจีนอาจส่งผลกระทบในทางอ้อมต่อการส่งออกสินค้าบางประเภทของไทย
ช่องทางที่สาม ไทยจะนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นเนื่องจากจีนต้องการหาตลาดทดแทนการส่งออกไปสหรัฐ
ช่องทางสุดท้าย ไทยอาจต้องเพิ่มการนำเข้าสินค้าบางประเภทจากสหรัฐโดยเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเจรจา รัฐบาลไทยเสนอให้เพิ่มการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas -- LNG) ข้าวโพด กากถั่วเหลือง ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องบินจากสหรัฐ ในอนาคต
“เมื่อพิจารณาทุกช่องทางตามที่กล่าวมา ทริสเรทติ้งคาดว่าการส่งออกและนำเข้าสินค้าโดยรวมของไทยในปี 2568 จะเติบโตชะลอลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยการนำเข้าสินค้าที่ยังขยายตัวได้มาจากการนำเข้าสินค้าจีนที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก ในปี 2568 การส่งออกไปยังสหรัฐ คาดว่าจะลดลง 10.5% ในขณะที่การส่งออกไปยังประเทศอื่น และจีนคาดว่าจะมีการเติบโตในอัตราเลขหลักเดียวระดับต่ำ (Low Single-digit)”
ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าการส่งออกสินค้ารวมของไทยจะเติบโตเพียงเล็กน้อยที่ 0.15% และคาดว่าการนำเข้าสินค้ารวมจะเติบโต 1.2% โดยสะท้อนถึงการนำเข้าจากจีนที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคงคาดการณ์การเติบโตของ GDP ของไทยในปี 2568 ที่ระดับ 1.8% หลังจากที่ได้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภาษีนำเข้าของสหรัฐ แล้ว ภายใต้สมมติฐานในกรณีฐาน (Baseline Assumption) ทริสเรทติ้งคาดว่าการเจรจากับสหรัฐ ในช่วงพักการเก็บภาษีแบบตอบโต้เป็นเวลา 90 วันจะนำไปสู่การกำหนดอัตราภาษีตอบโต้
(Reciprocal Tariff) ที่ระดับ 20% ซึ่งต่ำกว่าระดับ 36% ที่รัฐบาลสหรัฐ ประกาศไว้เดิม
อย่างไรก็ดี ปัจจัยดังกล่าวจะยังมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 สำหรับความเสี่ยงในเชิงลบนั้น ทริสเรทติ้งมองว่าการกำหนดภาษีตอบโต้ 36% ของสหรัฐ ถือเป็นฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด (Worst-case Scenario) ซึ่งจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้น
ในส่วนของสมมติฐานหลักของประมาณการ ได้แก่ ราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่จะค่อย ๆ ลดลงซึ่งจะส่งผลให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำในปี 2568 ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดูไบเฉลี่ยจะอยู่ระหว่าง 63-73 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 68 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งสะท้อนถึงราคาน้ำมันดิบที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมาท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นของทั้งกลุ่ม OPEC Plus และประเทศผู้ผลิตน้ำมันอื่น ๆ
“ดังนั้น ในปี 2568 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปโดยเฉลี่ยจึงคาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำระหว่าง 0.25%-0.75% โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยของไทยอยู่ที่ระดับ 0.75% และ 0.91% ตามลำดับ”
อัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 33.4 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแข็งค่าขึ้นจาก 35.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 โดยสะท้อนถึงการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นหลักท่ามกลางข้อมูลทางเศรษฐกิจสหรัฐ ที่อ่อนแออันเป็นผลจากมาตรการภาษีนำเข้า โดยรวมแล้ว อัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะอยู่ที่ 1.5% ณ สิ้นปี 2568
โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งเพื่อรองรับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวภายใต้เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มอีกเพียงครั้งเดียวในปีนี้เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สื่อสารถึงขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) ที่มีอยู่จำกัด
ในปี 2568 ทริสเรทติ้งคาดว่าการลงทุนภาครัฐจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ระดับ 5.2% ซึ่งสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เดิมที่ 3.7% รัฐบาลมีแนวโน้มเร่งเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับโครงการลงทุนที่อนุมัติไปแล้วเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง ในไตรมาส 1 ปี 2568 การลงทุนภาครัฐปรับตัวดีขึ้น 26.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากฐานที่ต่ำในไตรมาส 1 ปี 2567
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้โอนงบประมาณจำนวน 1.57 พันล้านบาทจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านดิจิทัลวอลเล็ตไปยังงบกลางเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยงบประมาณส่วนนี้มีแนวโน้มว่าจะถูกนำไปใช้ สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมการท่องเที่ยว ช่วยเหลือผู้ส่งออก และพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนแทน ดังนั้น การใช้จ่ายเพิ่มเติมนี้จึงคาดว่าจะช่วยสนับสนุนการลงทุนภาครัฐในปีนี้ด้วยบางส่วน
ส่วนการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน ทริสเรทติ้งปรับลดคาดการณ์เนื่องจากแผนการเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางธุรกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยการลงทุนภาคเอกชนในปี 2568 คาดว่าจะเติบโต 1.8% ซึ่งชะลอลงจากคาดการณ์เดิมที่ 2.6% เนื่องจากนักลงทุนมีแนวโน้มที่จะรอดูผลกระทบต่อเศรษฐกิจก่อนตัดสินใจลงทุนใหม่
ทริสเรทติ้งคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2568 ไว้ที่ 36 ล้านคน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนหน้าที่มีจำนวนนักท่องเที่ยว 35.5 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวชาวจีนคาดว่าจะอยู่ที่ 6 ล้านคนในปี 2568 ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าจะชะลอตัวลงจากผลกระทบของภาษีนำเข้าสหรัฐ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนน่าจะอยู่ในระดับต่ำต่อไปเนื่องจากจีนมีการสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้นและนักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มเปลี่ยนวิถีการท่องเที่ยวจากแบบหมู่คณะมาเป็นแบบอิสระมากขึ้น
ตัวเลขดังกล่าวยังต่ำกว่าระดับก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เป็นอย่างมากซึ่งอยู่ที่เกือบ 11 ล้านคน อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น ๆ นอกเหนือจากจีนยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติจากภูมิภาคอื่น (ยกเว้นเอเชีย) ขยายตัวในอัตราเลขสองหลักในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้นในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ด้วยซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวระยะไกล เช่น นักท่องเที่ยวจากยุโรป
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 16 มิถุนายน 2568