ยุควิกฤต EV จีน? สงครามหั่นราคาเดือด ปั่นป่วนตลาด ลามถึงไทย
สงคราม EV ในจีนเดือด BYD หั่นราคากว่า 30% ดันตลาดปั่นป่วน NETA ปิดโชว์รูม–ลดราคาเคลียร์สต็อก ด้าน NETA ไทยเสี่ยงผิดเงื่อนไขรัฐ จ่อถูกเรียกคืนเงินอุดหนุนกว่า 2,000 ล้าน ผู้ใช้กว่า 2.5 หมื่นคันเริ่มไม่มั่นใจ
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในไทยที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด กำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อแบรนด์รถ EV สัญชาติจีนอย่าง NETA Auto Thailand ซึ่งเข้าร่วมโครงการอุดหนุนของรัฐบาลไทย อาจถูกเรียกคืนเงินอุดหนุนมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท หลังไม่สามารถดำเนินการตามเงื่อนไขการลงทุนในประเทศได้ครบถ้วน โดยเฉพาะการตั้งโรงงานและการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อทดแทนการนำเข้า
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ย้ำชัดว่า หากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการอุดหนุน EV Phase 2 (พ.ศ. 2567-2570) ไม่สามารถดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะเรื่องการผลิตรถ EV ในประเทศในอัตราส่วน 2 คันต่อรถนำเข้า 1 คันภายในปี 2569 และ 3 คันต่อ 1 คันในปี 2570 รัฐบาลจะเรียกคืนเงินอุดหนุนทั้งหมดที่ได้รับไป
กรณีของ NETA ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทแม่จากจีนอย่าง Hozon Auto กำลังถูกจับตามองอย่างหนัก หลังมีรายงานว่าบริษัทแม่ในจีนกำลังเผชิญวิกฤติทางการเงิน ต้องปรับโครงสร้างหนี้ครั้งใหญ่ และอาจอยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ขณะที่โชว์รูมในจีนหลายแห่งเริ่มปิดตัว พนักงานบางส่วนยังค้างค่าจ้าง
นอกจากประเด็นนี้ เริ่มมี “รถไมล์ศูนย์” (zero-mileage used cars) หรือคันใหม่ถูกปลอมขายเป็นมือสอง เพื่อรีดยอดขายให้สูงขึ้น ทั้งที่ในความจริงยังไม่ผ่านการใช้งาน ซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ของทั้งอุตสาหกรรมรถ EV ในจีน โดยสื่อกระแสหลักของจีนออกโรงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งปราบปรามการนำรถใหม่ที่ค้างสต็อกมาปลอมเป็นรถมือสอง เพื่อจำหน่ายในราคาต่ำกว่าทุน ซึ่งพฤติกรรมลักษณะนี้กำลังบิดเบือนกลไกราคา ทำลายความเชื่อมั่น และฉุดราคาตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีนให้ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว
การปั่นราคาผ่านสงครามลดราคาก็ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดย BYD ผู้นำตลาด EV จีน ได้ปรับลดราคาสูงสุดถึง 34% สร้างแรงกดดันให้คู่แข่งหลายรายเร่งตัดราคาเพื่อความอยู่รอด นักวิเคราะห์หลายฝ่ายจึงออกมาเตือนว่า ภาวะปัจจุบันมีลักษณะคล้าย "ฟองสบู่" ที่อาจแตกในลักษณะเดียวกับวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ของ Evergrande
แรงสะเทือนจากจีนส่งตรงถึงไทย เมื่อ NETA Auto Thailand เริ่มเผชิญวิกฤตในประเทศอย่างชัดเจน ทั้งการปิดศูนย์บริการหลายแห่ง การร้องเรียนจากผู้บริโภคมากกว่า 25,000 รายที่ซื้อรถไปตั้งแต่ปี 2565 ปัญหาอะไหล่ล่าช้า ไปจนถึงการลดราคาขาย NETA V-II ลงเหลือเพียง 299,000 บาท เพื่อเร่งเคลียร์สต็อก โดยมีรายงานว่าดีลเลอร์บางรายยังไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐครบถ้วน ทำให้เครือข่ายการให้บริการส่อแววชะงักงันในหลายพื้นที่
แม้ NETA จะพยายามรักษาภาพลักษณ์ด้วยการร่วมมือกับ Bangchan General Assembly เพื่อเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 และเปิดศูนย์กระจายอะไหล่ในนครปฐมเมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ของบริษัทแม่ในจีนที่สั่นคลอนอย่างหนัก กลับเป็นความเสี่ยงที่อาจกระทบความมั่นใจของผู้บริโภคในไทยโดยตรง
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 17 มิถุนายน 2568